วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

รู้จริงเรื่องหลับนอน

รู้จริงเรื่องหลับนอน

ลองดูกันว่าเรื่องเกี่ยวกับการนอนเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงบ้าง

การปลุกคนละเมอเดินเป็นเรื่องอันตราย เมื่อ กลางดึกมีคนเดินเพ่นพ่านตามโถงทางเดินโรงแรม ทั้งๆที่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้จะไปาร์ตี้ที่ไหน สมองของคนที่ละเมอเดินขณะหลับไม่สามารถปรับการทำงานให้สอดคล้องกับระยะต่างๆ ของการนอนหลับได้ดีนัก นพ.อริชัด อิบราฮิม จากศูนย์การนอนหลับในลอนดอน กล่าวว่า " เมื่อสมองเกิดตื่นตัวในช่วง REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นระยะหลับลึก กล้ามเนื้อก็จะตื่นตัวตาม" หมออิบราฮิม เคยเป็นพยายานผู้เชี่ยวชาญให้กับชายคนหนึ่งที่รอดพ้นจากข้อหา ฆาตกรรม เพราะพิสูจน์ได้ว่ากำลังนอนหลับอยู่ แต่ทางที่ดีควรพาเขากลับไปยังเตียงจะดีที่สุด

นอนน้อยอาจตายเร็ว ถ้าคิดว่าการนอนน้อยอาจทำให้ตายเร็วได้ ลองนึกถึง แรนดี การ์ดเนอร์ ผู้ทำสถิติอดนอนได้นานที่สุดเป็นเวลาถึง 264 ชั่วโมงเมื่อปี 1964 จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า หนูและแมลงอาจตายได้ถ้าอดนอน ซึ่งตรงข้ามกับมนุษย์โดยสิ้นเชิง เพราะพอคนเราถึงเวลาที่ฝืนความง่วงต่อไปไม่ไหว ต่อให้นอนแล้วต้องตาย คนเราก็จะหลับอยู่ดี

กินชีสแล้วช่างฝัน งาน วิจัยที่จัดทำโดยคณะกรรมการเกี่ยวกับชีสในประเทศอังกฤษซึ่งรับรองคุณภาพโดย นีล สแตลีย์ ผู้อำนวยการงานวิจัยเกี่ยวกับการหลับนอนของมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ ให้อาสาสมัคจำนวน 200 คนกินชีสประมาณ 20 กรัมก่อนเข้านอนครึ่งชั่วโมง ผลก็คือกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมวิจัย 72 เปอร์เซ็นต์หลับสบายโดยไม่ฝันร้ายถึงผีปีศาจ หรือฝันถึงวันสอบที่แสนโหดร้าย 75 เปอร์เซ็นต์ของคนที่กินชีสทิลตันจะฝันถึงเรื่องที่ติดตาตรึงใจ ในขณะที่ 2 ใน 3 ของคนที่กินเชดดาร์ชีสจะฝันถึงคน ดังนั้นหากคุณไม่อยากฝันร้ายลองกินชีสดูแล้วคุณจะนอนหลับฝันดี หรืออาจฝันถึงคนดังก็ได้

ห้ามคุยหลังการปิดไฟนอน เพราะ ว่าการคุยโทรศัพท์มือถือตอนกลางคืนจะรบกวนการนอนได้มากพอๆกับอาการเจ็ตแลก เลยทีเดียว งานวิจัยที่ทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอัปป์ซารา ประเทศสวีเดน พบว่า การสัมผัสรังสีจากโทรศัพท์มือถือทำให้คุณหลับลึกได้ช้าลง เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะขัดขวางการหลั่งสารเมลาโทนินในสมองที่ช่วยให้นอน หลับง่าย ดังนั้นหากต้องการคุยโทรศัพท์ให้หันมาใช้โทรศัพท์บ้านแทนมือถือ และถ้ากังวลอาจลองวัดปริมาณรังสีในบ้านของคุณด้วยเครื่องตรวจรังสีคลื่นแม่ เหล็กไฟฟ้า

คุณต้องนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง รูป แบบการนอนมีความสำคัญมากกว่าการนอนใให้ครบ 8 ชั่วโมง เนื่องจากว่ารูปแบบการนอนของแต่ละคนมักไม่เหมือนกันเหมือนลายนิ้วมือของคน เราที่ไม่เหมือนกัน ฮอร์นกล่าว "การได้หลับอย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกรบกวนสำคัญกว่าจำนวนชั่วโมงในการนอน" การนอนหลับ 6 ชั่วโมงรวดผ่านระยะการนอนทั้ง 4 ช่วงได้ ถือว่าเพียงพอแล้วต่อการหลับนอน และเทคนิคในการนอนหลับ 6 ชั่วโมงอย่างมีคุณภาพให้ทานอาหารที่มี วิตามินบี 6 และทริปโทฟาน ซึ่งพบได้ในเนื้อไก่ ชีส ทูน่า ไข่ ถั่ว และนม เพื่อกระตุ้นการหลั่งสารที่ช่วยในการนอนหลับอย่างเซโรโทนิน

นอนตื่นสายทำให้อ้วน ถ้า หากคนที่ขยันกดปุ่มเลื่อนเวลาปลุกในตอนเช้า เตรียมตัวอ้วนขึ้นได้เลยละ เพราะผลของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในนิตยาสาร sleep บอกว่าคนที่นอน 9 ชั่วโมงมีโอกาสที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 5 กิโลกรัมถึง 25 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลา 6 ปี ส่วนคนที่นอน 8 ชั่วโมงมีโอกาสน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียง 3.5 กิโลกรัม ในช่วงเวลาเท่ากัน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่อยากอ้วนก็อย่าเลื่อนเวลาตื่นของตัวเองในตอนเช้า

นอนไม่หลับให้นับแกะ ถ้า หากอยากนะนอนก้ควรปล่อยแกะไว้ในคอกเสียดีกว่า งานวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การมองภาพที่ชวนให้สงบจิตสงบใจจะช่วยให้หลับเร็วขึ้น 20 นาที ในขณะที่การนับแกะทำให้คุณหลับได้ยากขึ้น ประเดนสำคัญคือให้หาอะไรใส่สมองไว้ก่อนที่สารพัดปัญหาจะถาโุถมเข้ามาแทน ถ้านอนไม่หลับลองหาภาพดีๆๆสักภาพมานอนมองดูอาจทำให้เคลิ้มหลับได้


คนเราจะกรนก็ต่อเมื่อเมาเท่านั้น เหล้า อาจจะทำให้ปัญหาการกรนยิ่งแย่มากขึ้น เพราะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายมากเกินไป แต่ระดับความน่ารำคาญของเสียงกรนขึ้นอยู่กับขนาดความกว้างของช่องคอต่างหาก นักวิจัยชาวสโลวาเนียที่มหาวิทยาลัยลูเบลียนาพบว่า คนที่กรนนอกจากจะมีช่องคอที่แคบเหมือนกันแล้วยังมีลักษณะรวมอื่นๆอีก


การนอนเยอะเหมาะสำหรับพวกอ่อนหัด คน ที่อดนอนอาจจะใจอ่อนแอได้ จากผลการวิจับพบว่า คนที่ลดเวลานอนตอนกลางคืนจาก 7 ชั่วโมงเหลือเพียง 5 ชั่วโมง มีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว นอนให้ได้วันละ 7 ชั่วโมงจะกีต่อสุขภาพมากที่สุด


แอลกอฮอล์ช่วยให้หลับง่ายขึ้น แอลกอฮอล์ อาจทำให้หลับได้ แต่เป็นการหลับที่ไม่มีคุณภาพเลย เพราะในระหว่างหลับคุณจะรู้สึกตัวบ่อย เพราะร่างกายต้องจัดการกับเอธานอลเพื่อถอนฤทธิ์แอลกอฮอล์ในชั่วข้ามคืน แถมยังต้องเจอกับอาการขาดน้ำเพราะกระเพาะปัสสาวะเต็ม ภาวะเหล่านีี้จะขัดขวางไม่ให้คุณหลับลึกซึ่งเป็นระยะการนอนที่สำคัญสำหรับ การพักผ่อนของร่างกาย และตับของคนเราต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการจัดการกับแอลกอฮอล์แค่ 10 มิลลิลิตร


คนสมัยนี้เหนื่อยเกินไป ผล การวิจัยพบว่าคนงานในอังกฤษเสียเวลานอนให้กับการทำงานเกินเวลาสัปดาห์ละ 10 ชั่วโมง แล้วถ้าเกิดอยากหาวขึ้นมาก็ควรจะหาวอย่ากลั้นไว้ เพราะการหาวเป็นการช่วยขยายหลอดลม ทำให้มีออกซิเจนเข้าสู่เลือดได้มากขึ้น จะทำให้ร่างกายตื่นตัว


งีบหลับแบบมีคุณภาพดีกว่านอนตื่นสาย การ งีบจะช่วยเติมพลังให้สมองและไม่ทำให้นาฬิกาในร่างกายคุณรวนหรอก และการงีบหลับมากกว่า 20 นาทียังช่วยให้กระบวนการรับรู้ของสมองมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย และก่อนจะงีบหลับลองดื่มกาแฟ 2 แก้ว คาเฟอีนจะทำหน้าที่ประหนึ่งนาฬิกาปลุกทำให้คุณตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึก เหมือนร่างกายได้ชาร์จแบตอย่างเต็มที่


เรื่อง Jon Axworthy
แปลและเรียบเรียง Conchita

ขอขอบคุณข้อมูลหนังสือ Men's Helth

คุณเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า?


โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive - Compulsive Disorder)

สาเหตุ

อาการย้ำคิดจะมีลักษณะซ้ำๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความคิดอาจเป็นเรื่องแปลก เช่น คิดอยากจะทำร้ายคนอื่น แต่ไม่อยากทำพยายามจะตัดความคิดนั้นออกไป ไม่อยากคิดซ้ำๆ แต่ไม่สามารถทำได้ ความคิดสามารถเกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถหยุดได้ ส่วนอาการย้ำทำจะมีลักษณะพฤติกรรมทำอะไรซ้ำๆ เช่น เปิดปิดประตู เดินหน้า ถอยหลัง หรือล้างมือ การกระทำมักจะเกิดจากความวิตกกังวลภายใน สาเหตุของอาการนี้มีรากฐานสำคัญมาจากความกลัว โดยเรื่องที่ผู้ป่วยมักจะกลัวมีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ กลัวโชคร้ายกับกลัวความสกปรก

อาการ

ผู้ ที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำจะมีอาการจดจ่อผูกพันอยู่กับการย้ำคิดย้ำทำมากมายตลอด เวลาเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการรู้สึกผิด และกลัวการลงโทษ เช่น กรณีแม่บ้านคนหนึ่งกลัวเชื้อโรคมากจนไม่กล้ากวาดบ้าน ปล่อยให้ฝุ่นเกาะพื้น

การรักษา

การรักษาโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำมีอยู่หลายวิธีคือ การใช้ยาเพื่อรักษาตามอาการ หรือการใช้พฤติกรรมบำบัดเพื่อทำการรักษาเป็นกลุ่ม ตามโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ผู้ป่วยเกิดความคุ้นเคย และกำจัดพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำอย่างเป็นระบบตัวต่อตัวด้วย

โรงพยาบาลมนารมย์

ขอบคุณข้อมูล : Health Channel Magazine

เรื่องที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับผิวหนัง


1. ช็อกโกแลตไม่ได้เป็นสาเหตุของสิว ถ้า คุณคิดว่าอาหารไขมันสูงอย่างพิซซ่า มันฝรั่งทอด และช็อกโกแลต จะไปอุดตันรูขุมขน ความจริงก็คือสิวเกิดขึ้นในชั้นที่ลึกลงไปในผิว แบคทีเรียต่างหากที่เป็นต้นเหตุผิวเสีย

2. ดื่มนมทำให้เกิดสิว ฮอร์โมนและชีวโมเลกุลในนมกระตุ้นต่อมไขมันจนทำให้เกิดสิวได้ หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป

3. ควรใช้ยารักษาสิวทั่วหน้า ไม่ใช่ทาเฉพาะหัวสิว เพราะยาจะไปทำลายแบคทีเรียสาเหตุของสิว จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ รวมทั้งรักษาพร้อมๆกันไปด้วย

4. ปิดผ้าพันแผล จะช่วยฟื้นสุขภาพผิวดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งเมื่อเกิดแผลหรือรอยถลอกบน ผิว เรามักจะปิดแผลไว้แค่ 1-2 วัน แล้วหลังจากนั้นก็เปิดทิ้งเพราะเชื่อว่าจะทำให้แผลแห้งไว ที่จริงแล้วพบว่าแผลจะสมานได้เร็วกว่าหากอยู่ในสภาพที่มีความชื้นพอประมาณ ปิดแผลไว้ตลอดจึงดีกว่า

5. ไม่ควรทานวิตามินอีหากเป็นแผล วิตามิน อีเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ชั้นดี แต่หากคุณเกิดบาดแผล วิตามินอีกลับจะไปขัดขวางกระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอตามธรรมชาติรอให้แผล ทุเลาหน่อยจึงดีกว่า

ขอขอบคุณ ข้อมุลจาก หนังสือCOSMETIC beauty & anti aging

10 สุดยอดอาหารสำหรับผู้หญิง

10 สุดยอดอาหารสำหรับผู้หญิง

หากต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บและคงความอ่อนเยาว์ไวันานๆ ก็ต้องหันมาใส่ใจกับอาหารการกินในชีวิตประจำวันกันค่ะ โดยเฉพาะการบำรุงจากภายในด้วย 10 สุดยอดอาหารที่ขอแนะนำดังนี้

1. ข้าว มีสารอาหารที่ สำคัญต่อร่างกายโดยเฉพาะข้าวกล้องที่มีสารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายชนิด มีโพแทสเซียมที่ช่วยขจัดน้ำและขจัดสารพิษออกจากร่างกายมีคาร์โบไฮเดรตสูง แต่มีไขมันต่ำและมีโปรตีนแต่ไม่มีคอเลสเตอรอล มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬาเพราะนอกจากจะช่วยในกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อ แล้ว มันยังให้พลังงานที่สำคัญแก่สมองและเซลล์ประสาทด้วย นอกจากนี้ข้าวกล้องยังมีแคลอรี่ต่ำจึงไม่ทำให้อ้วน อีกทั้งยังช่วยให้อ่อนเยาว์เนื่องจากมีวิตามินบี 2 และไนอาซินซึ่งเป็นกลไกซ่อมแซมผิวหนังตามธรรมชาติ ส่วนวิตามินอีในข้าวกล้องก็ช่วยให้ผิวหนังกระฉับเต่งตึง คุณอาจทานข้าวอื่นๆ ทดแทนได้ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวหอมนิล ข้าวซ้อมมือ สารอาหารที่มีประโยชน์ วิตามินบี1 บี2 บี6 ไนอาซิน วิตามินอี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แมกนีเซียม แมงกานีส โพแทสเซียม ฯลฯ

2. บร็อกโคลี่ เป็นอาหารที่เปลี่ยนเสมือนอาวุธชั้นดีที่ใช้ต่อสู้กับมะเร็ง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตา ระบบหัวใจและหลอดเลือดช่วยให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันการแท้งบุตร ผักที่ทดแทนกันได้คือ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว สารอาหารที่มีประโยชน์ กากใยอาหารแคลเซียม วิตามินซี วิตามินเค เหล็ก เบต้าแคโรทีน ฯลฯ

3. โยเกิร์ต ช่วยฆ่า แบคทีเรียตัวร้ายช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ป้องกันมะเร็ง ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตหากกินโยเกิร์ตสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันโรค จากเชื้อรา(ในจุดซ่อนเร้นและติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ) แนะนำให้เลือกโยเกิร์ตที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ และควรมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ สารอาหารที่มีประโยน์ โปรตีน แคลเซียม วิตามินบี แมกนีเซียม สังกะสี มีแบคทีเรียที่ดีต่อลำไส้

4 ฟักทอง มีแคโรทีนนอยด์ สูงในการป้องกันมะเร็งชนิดต่างๆ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงแลมีประโยชน์ต่อดวงตา หรือหากไม่ชอบฟักทองก็อาจทานผักอื่นทดแทน เช่น แครอท หัวมัน ผักผลไม้ที่มีสีส้ม สารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อัลฟ่าเบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี กากใย อาหาร โพแทสเซียม แมกนีเซียม

5 ส้ม มีวิตามินและสาร อาหารที่มีปรโยชน์มาก ช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงป้องกันมะเร็ง ป้องกันเบาหวานและควาดันโลหิตสูง แถมยังมีรสอร่อยด้วย หรือจะทานมะนาว เกรฟฟรุต หรือส้มตะกูลอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน สารอาหารที่มีประโยชน์ วิตามินซี กากใยอาหาร โพแทสเซียม เพ็กติน โพลีฟีนอยด์

6.อกไก่ (ปราศจากหนังและ สารเร่งการเจริญเติบโต เช่นไก่บ้านหรือไก่สามสาย) ให้โปรีที่มีไขมันต่ำสุด มีซิลิเนียมสูง มีสารอาหารที่สำคัญสำหรับภูมิคุ้มกัน สารอาหารที่มีประโยชน์ โปรตีนที่มีไขมันต่ำ วิตามินบี ไนอาซิน เหล็ก ซิลิเนียม สังกะสี

7. ถั่วเหลือง ป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรหัวใจและกระดูกพรุน ช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตและช่วยทดแทนโปรตีนจากสัตว์ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักมังสวิรัติ คุณอาจทานถั่วเหลืองในรูปของก้อนเต้าหู้มิโสะ หรือน้ำเต้าหู้ก็ได้ สารอาหารที่มีประโยชน์ ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 จากพืช วิตามินอี ซิลิเนียม โพแทสเซียมและโปรตีนจากพืช

8. ปลาแซลมอน มีสารอาหารสำคัญคือกรดไขมันโอเมก้า3 ซึ่งจะช่วยป้องกันมะเร็ง มีประโยชน์สำหรับดวงตาและรักษาความสมดุลของโลหิต ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล ระบบหัวใจ และหลอดเลือดให้สมดุล หรือจะทานปลาซาร์ดีน ปลาทะเลอื่นๆ หรือหอยก็ได้เช่นกัน สารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น กรดไขมัน โอเมก้า3 ซิลิเนียม วิตามินบี โปรตีน โพแทสเซียม

9. ผักโขม ป๊อปอายรู้มานานแล้วว่าผักโขมช่วยให้ร่างกายฟิตและแข็งแรงป้องกันตาบอดในวัย ชรา มีประโยชน์สำหรับหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันมะเร็ง หากไม่ชอบทานผักโขมก็อาจทานผักอื่น เช่น กะหล่ำเขียว ผักและผลไม้สีส้ม สาร อาหารที่มีประโยชน์ มีแร่ธาตุเกือบครบทุกชนิด เช่้น แมกนีเซียม เหล็ก แคลเซียม สังกะสี กรดไขมัน เบต้าแคโรทีน วิตามินอี วิตามินซี ฯลฯ

10 ชา ทำไมคนจีนจึงมี อายุยืนก็เพราะพวกเขาชอบดื่มชานั่นเอง ทั้งนี้ชามีสารฟลาโวนอยด์(สารจากพืชในใบชา) ซึ่งจะช่วยให้ระบภูมิคุ้มกันแข๊งแรงและป้องกันมะเร็ง สารฟลูออไรด์ในชามีประโยชน์ต่อฟันและป้องกันฟันผุคุณอาจดื่มชาดำหรือชาเขียว ก็ได้ สารอาหารที่มีประโยชน์ ฟลูออไรด์และสารฟลาโวนอยด์

ขอขอบคุณ Lisaweekly

3 วิธีบริหารขากรรไกร

เรามีท่าบริหารที่ช่วยฟื้นฟูขากรรไกรให้ทำงานดีขึ้น ดังนี้

1. เคี้ยวผ้าก๊อซที่นำไปพันไว้กับไม้ไอศกรีม เคี้ยวนาน 1 - 2 นาที สลับซ้ายขวา

2. อ้าปากให้กว้างที่สุดพร้อมกับออกเสียง "อา" ยาวๆ ทำสัก 5 ครั้ง

ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อของผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต แต่ยังช่วยบริหารกล้ามเนื้อขากรรไกรของคนทั่วไปให้แข็งแรงอีกด้วยค่ะ

ชมนาด

ขอบคุณข้อมูล : นิตยสารชีวจิต

ท่าโยคะ.....ลดห่วงยางหน้าท้อง

ท่าพระจันทร์ครึ่งซีก ซีกที่ 1 : เอวคอดกิ่ว

1. ยืนตัวตรง ขาชิดกัน เกี่ยวนิ้วหัวแม่มือซ้ายและขวาไว้ด้วยกัน อีกสี่นิ้วที่เหลือเรียงให้เสมอกันไว้ที่ด้านหน้าของลำตัว

2. หายใจเข้า ชูมือขึ้นเหนือศีรษะ แขนแนบใบหู หายใจออก

3. หายใจเข้า เอียงลำตัวช่วงบนไปด้านขวา เท้าตรึงอยู่กับที่ หายใจออก

4. ค้างท่า นับ 1 - 10 แล้วปฏิบัติเช่นเดียวกับอีกด้านหนึ่ง จากข้อ 1 - 5 นับเป็นหนึ่งรอบ

ท่าพระจันทร์ครึ่งซีก ซีกที่ 2 : ขจัดห่วงยางรอบเอว

1. ยืนตัวตรง ขาชิดกัน ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ หันฝ่ามือออก เกี่ยวนิ้วหัวแม่มือซ้ายและขวาไว้ด้วยกัน เรียงนิ้วมือให้เสมอกัน แขนแนบศีรษะ

2. หายใจเข้า ชูแขนค้างไว้ หายใจออก

3. หายใจเข้า ค่อยๆ เอนลำตัวช่วงบน เหยียดแขน และหงายศีรษะไปทางด้านหลังพร้อมกัน เท้าตรึงอยู่กับพื้น หายใจออก

4. ค้างท่า นับ 1 - 10 หายใจปกติ จากข้อ 1 - 4 นับเป็นหนึ่งรอบ

ถึงแม้จะมีตัวช่วย แต่ก็ต้องหักห้ามใจด้วยการไม่ตามใจปากนะคะ

อังคณา ทองพูล

ขอบคุณข้อมูล : นิตยสารชีวจิต

อาหาร...ก็มี 'ไอคิว'


นักวิจัยชาวอเมริกาจากมหาวิทยาลัย Yale ได้ทำการวัดไอคิวอาหาร โดยการทำสกาล่าที่ค่า 1 - 100 ซึ่งหากมีคะแนนมากเท่าไหร่ก็หมายถึงอาหารนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากตาม คะแนน

อาหารสุดยอดต่อสุขภาพ เช่น บร็อกโคลี่ ส้ม หน่อไม้ฝรั่ง (แต่ละชนิดมีคะแนน 100 คะแนน) เหตุผลก็คือ อาหารดังกล่าวมีวิตามินและกากใยอาหาร และมีแคลอรีต่ำ

อาหารที่ทำร้ายสุขภาพก็คือ อาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง มีเกลือหรือน้ำตาลมากเกินไป เช่น ไอศกรีมแท่ง(1 คะแนน) คุกกี้(2 คะแนน) หรือนมช็อกโกแลต(3 คะแนน)

ที่น่าแปลกใจก็คือ ปลา แซลมอนได้ 87 คะแนน กุ้งก้ามกรามได้ 36 คะแนน เหตุผลก็คือ กุ้งก้ามกรามมีโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำ แต่มีเกลือและคอเรสเตอรอลมากกว่า

ส่วนแฮมเบอกเกอร์(25 คะแนน) ได้คะแนนสูงกว่าไข่ดาว(18 คะแนน) เนื่องจากไข่มีคอเรสเตอรอลสูงเกินไป ซึ่งเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

Tips : อาหารชนิดใดได้คะแนนสูงต่ำ

มันฝรั่ง (93 คะแนน) มี สารอาหารสูง เช่น โพแทสเซียม วิตามินบี 6 แมกนีเซียม กากใยอาหาร ให้พลังงาน 68 กิโลแคลอรี มีประโยชน์สำหรับเส้นประสาทและการย่อยอาหาร

นมสด (52 คะแนน) มี สารอาหารสูง เช่น โปรตีน แคลเซียม คอเลสเตอรอล ให้พลังงาน 69 กิโลแคลอรี มีประโยชน์สำหรับกระดูก แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง

ถั่วลิสงอบเกลือ (21 คะแนน) มีวิตามินอีสูง ให้พลังงาน 563 กิโลแคลอรี ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ไอศกรีมแท่ง (1 คะแนน) มีคาร์โบไฮเดรตสูง (มาจากน้ำตาล) ให้พลังงาน 310 กิโลแคลอรี ไม่มีวิตามิน

smarthealing

ขอบคุณข้อมูล : นิตยสาร Lisa

ถักนิตติ้งช่วยยืดเวลาความจำ




ใครจะคิดว่ากิจกรรมที่ขาดความเร้าใจอย่างการถักนิตติ้ง จะทำให้สมองฟิตได้ ล่าสุดคลินิคชื่อดังอย่าง มาโย ในรัฐมินเนโซต้า สหรัฐอเมริกา เผยข้อมูลการศึกษาพฤติกรรมของคนสูงอายุกับความจำไว้ว่า เริ่มตั้งแต่วัยกลางคน หากคุณ มีกิจกรรมยามว่างที่ต้องอาศัยสมาธิอย่างการถักนิตติ้ง งานฝีมือต่อผ้า อ่านหนังสือ หรือแม้แต่เล่นเกม จะช่วยลดความเสี่ยงความจำเสื่อมได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เมื่อถึงวัยสูงอายุ ในทางตรงกันข้าม หากในช่วงเวลาเดียวกัน คุณมัวแต่นั่งดูทีวีวันละไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง รับรองว่าเข้าใกล้ภาวะสมองเสื่อมไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์

ไม่สายที่จะรีบู๊ทสมอง ลองใช้เวลาว่างเลือกทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ นอกจากจะช่วยฆ่าเวลาได้เพลินๆ สมาธิที่จดจ่อยังช่วยให้สมองของคุณไม่แก่ตามวัยด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูล : นิตยสาร Health & Cuisine

หายปวดข้อ ด้วยใบหนาด


ตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพกับ ดร.สาทิส

ถาม : มีสมุนไพรอะไรช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้บ้าง
ตอบ : หลายคนฟังชื่อสมุนไพรชนิดนี้แล้วก็อดตกใจไม่ได้ เพราะ ชื่อของต้นหนาดที่อาจารย์สาทิสแนะนำนี้ ไปพ้องกับชื่อของไม้ล้มลุกที่มีไสยคุณเอาไว้ไล่ผีได้ แต่อาจารย์บอกว่า ต่างกันค่ะ

“ภาคอีสานเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า ‘หนาด’ เหมือนที่เราเรียกต้นไม้ซึ่งเชื่อว่าไล่ผีได้ทางภาคกลาง แต่จริงๆ แล้วแตกต่างกันมาก คือ ต้นหนาดที่ไว้ไล่ผีนั้นจะมีหนาม และมีใบขนาดเล็กกว่า ส่วนหนาดที่แนะนำนี้ ใบจะค่อนข้างใหญ่ ไม่มีหนาม แถมยังมีสรรพคุณรักษาอาการปวดข้อได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเกิดจาก Arthritis (ข้ออักเสบ) หรือ เกิดจากโรคเกาต์ ก็ช่วยได้มาก วิธีการก็ง่ายมาก คือ นำไปต้มน้ำอาบเวลาไหนก็ได้”

“หรือแม้แต่บางคนพอเข้าหน้าหนาวก็ไม่ค่อยอยากอาบน้ำ พอเอาใบชนิดนี้ไปต้มน้ำอาบ แหม! มันช่วยให้สบายเนื้อสบายตัวเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ (ฮา)”



ขอบคุณข้อมูล : นิตยสารชีวจิต

แอลกอฮอล์ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงมะเร็ง



ไม่ว่าจะเป็นไวน์ เบียร์ หรือเหล้า ก็เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้หญิงเป็นมะเร์ง ทั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดได้รายงานใน Journal of the National Cancer Institute ว่า แม้ผู้หญิงจะดื่มแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยก็เพิ่มความเสี่ยงกับโรคมะเร็ง โดย นักวิจัยได้ศึกษากับผู้หญิงประมาณ 1.3 ล้านคนในช่วงเวลา 7 ปี พบว่า การดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงกับโรคมะเร็ง หรือแม้แต่การดื่มแอลกอฮอล์ต่ำหรือพอประมาณก็ทำให้เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือมะเร็งกระเพาะอาหารและทางเดินหายใจได่เกือบ 13% และหากผู้หญิงสูบบุหรี่ร่วมด้วยก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงกับโรคมะเร็งในปาก คอหอย และหลอดอาหาร ในขณะที่การศึกษาก่อนหน้านั้นพบว่า การดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อยมีผลดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่ผลดีที่ว่านี้ไม่อาจเทียบกับความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้ และไม่อาจบอกได้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณใดจึงจะไม่เป็นมะเร็ง

ขอขอบคุณ : Lisa

สัญญาณเตือน 11 โรคฮิตคนยุคไอที


โรคหัวใจ

ตัวบวม น้ำหนักเพิ่มผิดปกติ เหนื่อยง่าย นอนหงายไม่ได้ จะรู้สึกอึดอัดเหมือนมีคนกดทับ ทำให้ต้องลุกนั่งสลับนอนตลอดทั้งคืน สาเหตุใหญ่มาจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงและเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย และนำไปสู่อาการหัวใจล้มเหลว

หัวใจขาดเลือดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ

แน่นหน้าอก มักจะแน่นตรงกลางหน้าอกเกิดขณะออกกำลังกายหรือทำงานหนัก พอหยุดออกกำลังกายไม่กี่นาทีอาการแน่นหน้าอกจาหายไป มีอาการปวดร้าวปริเวณอื่นร่วมด้วย เช่น แขนซ้าย คอ กราม หลัง ลิ้นปี่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบากหรือมีอาการอื่นที่พบ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นลม มือเท้าเย็น มีอาการชาตามมือเท้า ขนขาไม่มีแรง

โรคไต

อ่อนเพลียเรื้อรัง ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะช่วงกลางคืน ปัสสาวะกระปริดกระปรอย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ร่างกายบวม ปวดหลัง ปวดเอว เป็นตะคริวบ่อย มือเท้าเย็น นอนไม่หลับ เวลานอนแขนขากระตุกหรือสะดุ้งตื่นเป็นประจำ เท้าบวม ผิวหน้าและใต้ตาหมองคล้ำ ผมร่วง ปกติไตจะเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 30 แต่จะเร็วหรือช้าต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น กรรมพันธุ์ การใช้ชีวิต เช่นการอดหลับอดนอน ความเครียด กินยามากเกินไป ชอบกินรสเค็ม

มะเร็งตับ

ดวงตาและผิวเป็นสีเหลืองหรือเหลืองจัดจนเห็นได้ชัดท้องโตและขาบวมทั้งสอง ข้าง แน่นท้อง ท้องผูก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดช่องท้องหรือเสียดชายโครางด้านขวา อาจคลำเจอก้อนได้

มะเร็งลำไส้

ระบบการย่อยผิดปกติ ปวดท้องรุนแรง น้ำหนักลดลงรวดเร็ว มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

มะเร็งมดลูกหรือปากมดลูก

มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่ไม่มีรอบเดือน เจ็บปวดและมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือมีอาการบวมในช่องท้อง

มะเร็งรังไข่

มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ ท้องอืด อาการไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีอาการเจ็บปวดหลังมีเพศสัมพันธ์

มะเร็งทรวงอก

หัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมสัมผัสได้ เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลา นานมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลจากหัวนม

มะเร็งในเม็ดเลือด (ลิวคีเมีย)

ตัวซีดเซียว เหนื่อยง่าย เกิดอาการฟกช้ำที่ผิวหนังโดยไม่ทราบสาเหตุและมักเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อ ต่างๆ ท้องอืดและคลำพบก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

โรคหลอดเลือดสมอง

ร่างกายชา อ่อนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ เวียนศรีษะปวดหัวรุงแรงเฉียบพลัน พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง ตามัว มักมองเห็นภาพซ้อน อาการของโรคเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดขึ้นกับสมอง ซึ่งส่งผลต่อความผิดปกติของร่างกายในระบบที่สมองนั้นควบคุมอยู่

โรคเบาหวาน

ปัสสาวะบ่อยกลางดึก และพบว่าปัสสาวะมีมดตอมอ่อนเพลีย หิวเก่ง แต่น้ำหนักลดลงเนื่องจากร่างกายนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ แผลหายช้า เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่า

Lily

ขอขอบคุณ หนังสือแพรว

ทำงานไม่ไหว หยุดนานไปหน่อย


สงกรานต์ ปีนี้ได้หยุดพักยาวเหมือนเดิมอาจจะยาวมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่พอวันแรกที่ตองเริ่มทำงานร่างกายอาจปรับตัวไม่ทันเพราะตื่นสายแบบไม่ต้อง มีนาฬิกามาปลุก จะทำยังไงให้ชีวิตกลับมาทำงานได้คล่องเหมือนเดิม คงต้องตั้งสติให้ดีไม่ยากหรอกที่จะกลับมาสนุกกับงานอีกครั้ง

ร่าเริงตั้งแต่เช้า แทน ที่จะมาทำงาน ชงกาแฟ นั่งโต๊ะเซ็งๆอย่างที่เคยทำมาตลอด นักวิจัยจากศูนย์ MITA ที่ศึกษาเรื่องสมองในนิวยอร์ก เค้นพบว่าการทำกิจกรรมเหมือนเดิมทุกเช้าเป็นการส่งสัญญาณไปบอกสมองให้ชาชิน จนแทบจะหลับตาทำได้ ลองหาอะไรใหม่ๆเช่น หาเพลงจังหวะโยกๆมาฟัง เก็บเพลงชิลล์ไว้ก่อน เพราะเวลานี้ต้องสดชื่นเท่านั้น

ข้ามไปทำงานสุดหิน วินาที แรกที่คุณนั่งทำงานที่โต๊ะ ให้จัดการงานที่รู้สึกว่ายากที่สุดก่อนแทนที่จะเอาแต่นั่งเรื่อยเปื่อยปล่อย เวลาให้หมดวันไป เลือกงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ แต่อย่าทำเกินมากกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เสียงานอื่นๆด้วย

พักให้เฮฮา วัน จันทร์หรือวันทำงานวันแรกมักเป็นวันที่เกิดความเครียดง่าย เจอรถติดก็หงุดหงิดตั้งแต่ยังไม่ถึงออฟฟิศแล้ว ความเครียดที่ค้างในตัวเราอาจเพิ่มฮอร์โมนคอร์ติโซล(ฮอร์โมนที่ไม่ดีต่อร่าง กาย) ให้สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณไม่มีสมาธิกับงาน ลดเรื่องปวดสมองให้น้อยลง แค่ใส่ใจกับเวลาว่างระหว่างวันด้วยสิ่งน่ารัก เช่น เตรียมกล่องข้าวจัดเป็นเบนโตะเหมือนคนญี่ปุ่นไปกินกับเพื่อนๆจะช่วยให้ผ่อน คลายและอารมณ์ดีขึ้น

กล่องเมล์แทบระเบิด คุณ หยุดแต่ลูกค้าต่างประเทศไม่ได้หยุดด้วย เขายังส่งอีเมล์ติดต่องานคุณเหมือนเดิม ดังนั้นเมล์ใหม่จึงเพิ่มขึ้นแบบไม่รอใคร กว่าจะเช็คจนครบต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน งานอื่นเลยอาจจะไม่ทันเอา อย่ากดดันว่าต้องตอบทุกเมลล์ให้หมดเร็วที่สุด ดูว่าใครส่งมาก่อนแล้วประหยัดเวลาด้วยการส่งกลับเรื่องที่สำคัญมากที่สุด บางครั้งอาจตั้งเมล์ตอบกลับอัตโนมัตเพื่อบอกว่าคุณไม่อยู่ อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องกังวลว่าคุณได้รับหรือเปล่า

หยุดน้อยยังฟิตสตาร์ทติดง่าย ไหนๆก็ได้หยุดตั้งหลายวันแล้ว ถือโอกาสหยุดต่ออีกไม่กี่วันให้ได้พัก 2 สัปดาห์ไปเลย แต่ถ้าแบบนี้ยิ่งทำให้คุณทิ้งช่วงการทำงานนานออกไปอีก พยายามอย่าลาทีเดียว 2-3 สัปดาห์ แต่เน้นกระจายหยุด 3-4 วัน ตลอดทั้งปีตามสิทธิ์วันหยุดที่ได้แทน

ขอขอบคุณ หนังสือ CLEO

มหัศจรรย์อาหารยอดพืช


ยุคก่อนการให้ความสำคัญของอาหารสุขภาพ มักเน้นย้ำไปถึงเรื่องของผลผลิตทางธรรมชาติที่ปลอดภัยจากสารพิษอย่างเมล็ด หรือผล โดยเอาส่วนนี้มาใช้ในการปรุงแต่งเป็นอาหาร แต่ลืมให้ความสำคัญกับยอดอ่อนของพืช ที่เป็นศูนย์รวมของสารอาหาร ทั้งนี้เพราะพื้นฐานในการสังเคราะห์แสงของพืช มักใช้ใบเป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อสร้างอาหารหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ภายใน

สารอาหารสำคัญอย่างแร่ธาตุหรือวิตามินที่เกิดในช่วงกระบวนการสร้างคลอโร ฟิลล์ของพืช จึงจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ โดยเหตุนี้ ผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ จึงคิดต่อยอดด้วยการนำยอดของพืชชนิดต่างๆ มาปรุงแต่งให้เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเพราะเชื่อว่าจะสามารถป้องกันโรค ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้

หญ้าหวาน

ผลสำรวจของ อย. พบว่าคนไทยจำนวนมากนิยมทานหญ้าหวาน เพื่อทดแทนน้ำตาล ส่งผลให้หญ้าหวานซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองของบราซิลและปารากวัยได้รับความสนใจ ในปัจจุบันหญ้าหวานถูกใช้เป็นสารแทนความหวานในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และถือว่าเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาของแพทย์ทางเลือกโดยผ่านการรับรอง จากกระทรวงสาธารณสุข หญ้าหวานจะออกฤทธิ์sหวานได้ช้ากว่าน้ำตาลและมี 0 แคลอรี่ จึงเหมาะกับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ความหวานในการรักษา สูตรอาหาร : เลือกเอายอดใบอ่อนมาล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งแดดให้แห้ง แล้วผสมในเครื่องดื่มตามปริมาณที่ต้องการแทนความหวานจากน้ำตาล

ยอดข้าวสาลี

คุณสมบัติ ที่มีส่วนประกอบของวิตามินบีหลายชนิด และโปรตีนที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมเซลล์ผิว ทั้งช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลล์ใหม่ยอดอ่อนของต้นข้าวสาลีจึงได้รับความนิยม ให้นำมาสกัดเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ เพื่อหวังผลทางโภชนาการ ข้าวสาลีเป็นธัญพืชที่ประกอบด้วยธาตุอาหารมากกว่า 100 ชนิดที่ร่างกายต้องการ ปัจจุบันพบว่า ยอดข้าวสาลีที่มีคลอโรฟิลล์สูงถึง 70 เปอร์เซนต์และมีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆ เช่น ฟื้นฟูระบบเส้ยเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด สูตรอาหาร : นำ ยอดอ่อนต้นข้าวสาลีแบบสดประมาณ 100 กรัมล้างในน้ำสะอาด มาปั่นรวมกับน้ำเปล่า 2 แก้วครึ่ง เติมน้ำตาลเล็กน้อยให้รสออกหวานๆ จะได้น้ำต้นข้าวสาลีที่มีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน

ยอดข้าวกล้องงอก

เมื่อได้มีการเปิดเผยสูตรน้ำข้าวกล้องงอก ขึ้นโต๊ะเสวย "ในหลวง" ข้าวกล้องงอกจึงได้รับความนิยมเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เทรนใหม่ ข้าวกล้องงอกคือ ข้าวกล้องที่มีการงอกของยอดอ่อนเกิดขึ้น ทั้งนี้ในการวิจัยส่วนมากพบว่าข้าวกล้องงอกจะมีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า ซึ่งสารกาบาเป็นกรดอะมิโนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ decarboxylation ของกลดกลูตามิค ซึ่งมีความสำคัญในการทำหน้าที่สารสื่อประสาทประเภทยับยั้งโดยจะทำหน้าที่ รักษาสมดุลในสมองทีได้รับการกระตุ้น ทำให้สมองเกิดความผ่อนคลาย ป้องกันการทำลายสมองและโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ อัลไซเมอร์ เป็นต้น สูตรอาหาร : นำ เมล็ดข้าวกล้องใหม่ 100 กรัม ซาวน้ำให้สะอาด แช่ทิ้งไว้ในน้ำ 1 ลิตร ประมาณ 5-6 ชั่วโมง จนเกิดเป็นตุ่มงอกสีขาวขึ้นมาที่เมล็ดข้าว เทน้ำออก นำข้าไปผึ่งแดดให้แห้ง จึงเอาไปต้ม และเคี่ยวต่อไป 15-20 นาที ก่อนจะกรองด้วยผ้าขาวบางและเกลืออีกเล้กน้อย จะกลายเป็นน้ำข้าวกล้องงอก

ยอดข้าวบาเลย์

ยอดอ่อนของข้าวบาร์เลย์นิยมนำมาสกัดเป็น มอลต์ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง มอลต์สกัด จะเลือดยอดข้าวอ่อนๆ ของต้นบาร์เลย์ซึ่งอยู่ในช่วงที่เรียกว่า Wort มากลั่นด้วยความร้อนต่ำ เพราะถือว่า wort จะเป็นเวลาที่เอนไซม์ในเมล็ดข้าวจะเริ่มกระบวนการผลิตคาร์โบไฮเดรต โปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน ต่างๆ ที่ละลายน้ำได้เพื่อเป็นอาหารให้แก่ยอดอ่อนที่กำลังเจริญเติบโต ยอดข้าวในระยะนี้จึงมีสารอาหารครบถ้วน โดยเอนไซม์ที่มีมากในระยะของการเริ่มงอกคือ อะมีเลส ทั้งชนิด แอลฟาและเบต้า ซึ่งมีความสำคัญในการเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานของ ร่างกาย

ขอขอบคุณ หนังสือ cosmetic

ไปบริจาคโลหิตกันดีกว่า


การบริจาคโลหิตนอกจากได้บุญเพราะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บป่วยหรือ ได้รับอุบัติเหตุเสียเลือดอย่างรุนแรงแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริจาคเองด้วย เพราะได้ตรวจเช็กสุขภาพอย่างง่ายในทุกครั้งที่บริจาคเลือด เช่น ชั่นน้ำหนัก วัดความดันโลหิต และตรวจความเข้มข้นของเลือด

หากตรวจพบว่าเป็นโรคต่างๆ ก็จะได้รับจดหมายแจ้งจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย ให้ไปตรวจวินิจฉัยยืนยันและทำการรัยษา ช่วยให้เราได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ทำให้ลดการแพร่กระจาบของโรค ลดภาวะแทรกซ้อน และลดความพิการได้

คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต

  1. อายุระหว่าง 17-60 ปีบริบูรณ์ สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์ด
  2. น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป
  3. ไม่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
  4. ไม่ เป็นไข้มาลาเรียมาในระยะ 3 ปี ที่ผ่านมา ไม่เป็นกามโรค โรคติดเชื้อต่างๆ ไอเรื้อรัง ไอมีเลือด เลือดออกง่ายผิดปกติ โรคเลือดชนิดต่างๆ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์
  5. ไม่อยู่ในระหว่างทานยาแก้อักเสบในระยะ 7 วันที่ผ่านมา
  6. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ ไม่มีประวัติยาเสพติดี
  7. งดการบริจาคโลหิตภายหลังผ่าตัด คลอดบุตร หรือแท้งบุตร 6 เดือน
  8. ไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์

การดูแลตัวเองก่อนมาบริจาคโลหิต

  1. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง
  2. ควรมีสุขภาพสมบูรณ์ดีทุกประการ ไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาแก้อักเสบใดๆ
  3. ควรรับประทานอาหารมาก่อน และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ไม่มีไขมัน
  4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนมาบริจาคโลหิตอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  5. งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

ขั้นตอนการบริจาคโลหิต

ขั้นตอนที่ 1 ผู้บริจาคโลหิตจะต้องกรอกแบบฟอร์มขนาด ประมาณครึ่งหน้ากระดาษ A4 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประจำเดือนในกรณีที่เป็นผู้บริจาคหญิง และคำถามซึ่งคัดกรองเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไวรัสบี เอดส์ หรือซิฟิลิส ได้แก่ ความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ทางการรับเลือด ทางการผ่าตัด เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 2 การชั่งน้ำหนัก ครวจสอบความเข้มข้นของเลือดโดยการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วว่าเลือดข้นเพียงพอ ที่จะบริจาคหรือไม่ ซึ่งเรียกกันว่า 'เลือดจม' ถ้าข้นไม่เพียงพอที่จะบริจาคได้จะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า 'เลือดลอย' และมีการวัดความดันโลหิต รับยาบำรุงโลหิต

ขั้นตอนที่ 3 การรับสติกเกอร์และบาร์โค้ดซึ่งจะนำไปติดที่หลอดเลือดต่อไป

ขั้นตอนที่ 4 เป็นการบริจาคเลือด เกล็ดลือด หรือพลาสมาซึ่งจะใช้เวลาแตกต่างกัน

ขั้นตอนที่ 5 ขั้นตอนสุดท้าย คือการพักรับประทานเครื่องดื่มและของว่างก่อนจะกลับ

การบริจาคเลือด (Whole Blood) เป็นการนำเลือดออกจากร่างกายทั้งหมด 250-450 ซี.ซี. แล้วแต่เพศและความสม่ำเสมอของการบริจาคเลือด ผู้บริจาคที่เป็นหญิงจะเอาเลือดออกไปน้อยกว่าชาย หากเป็นผู้บริจาคประจำจะสามารถเอาเลือดออกได้ถึง 450 ซี.ซี./ครั้ง การบริจาคเลือดจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที

การบริจาคพลาสมา ส่วนใหญ่จะใช้ในกรณีที่ต้องการพลาสมาของผู้บริจาคที่มีภูมต้านทานไวรัสตับ อักเสบชนิดบี เงื่อนไขคือต้องมีภูมิคุ้มกันไวรัสตัยอักเสบชนิดบีในความเข้มข้นที่สูงเกิน 1,000 mlU/ml ขั้นตอนเริ่มจากเอาเลือดออกจากร่างกาย ปั่นแยกเอาพลาสมาออก แล้วใส่ส่วนที่เหลือกลับคืนเข้าระบบการไหลเวียนโลหิตของผู้บริจาค โดยใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที

ส่วนการบริจาคเกล็ดเลือด เป็นการนำเลือดออกจากร่างกายผ่านเครื่องแยกซึ่งจะเก็บเอาเกล็ดเลือดไว้แล้ว คืนส่วนที่เหลือทั้งหมดกลับเข้าระบบการไหลเวียนโลหิตซึ่งจะต้องทำเป็นรอบ (Cycle) ทั้งสิ้นประมาณ 7 รอบ กินเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง

ข้อปฏิบัติหลังบริจาคโลหิต

  1. นอนพักบนเตียงสักครู่ ห้ามลุกจากเตียงทันทีเพราะอาจเวียนศรีษะและเป็นลมได้
  2. ควรดื่มเครื่องที่มีบริการให้ และดื่มน้ำมากกว่าปกติเป็นเวลา 1 วัน
  3. ไม่ควรรีบร้อนกลับ ควรนั่งพักจนแน่ใจว่าเป็นปกติ หากเวียนศรีษะให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
  4. รับประทานยาธาตุเหล็กที่ได้รับวีนละ 1 เม็ดจนหมดเพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
  5. หลีกเลี่ยงการใช้กำลังแขนข้างที่เจาะเป็นเวลา 12 ชั่วโมงพื่อป้องกันการบวมช้ำ
  6. งดกิจกรรมที่ใช้กำลังและเสียเหงื่อที่ทำให้อ่อนเพลียได้

แล้วอย่าลืมไปบริจาคโลหิตกันนะคะ ที่โรงพยาบาลทุกแห่ง หรือศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย นอกจากนี้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ยังมีรถหรือหน่วยรับบริจาคเคลื่อนที่ไปยังชุมชนหรือมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นครั้งคราว

ในกรณีประสงค์จะบริจาคเป็นกลุ่มคนขององค์กรหรือหน่วยงาน สามารถติดต่อมายังศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้ที่ โทร. 0-2251-3111, 0-2252-4106-9 ต่อ 114, 161, 162 หรือ www.nbc.in.th

ขอขอบคุณ : VOLUME

สมุนไพรไทยกับสุขภาพ


อาหารกลุ่มพืชผัก ซึ่ง จัดเป็นอาหารหลักหมู่ที่ 4 ของคนไทยนอกจากจะเป็นแหล่งที่อุดมไปด้ายสารอาหารประเภทวิตามินและแร่ธาตุที่ ร่างกายนำไปใช้ในกระบวนการสร้างและซ่อมแซมเซลล์เพื่อการเจริญเติบโต และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายแล้ว พืชผักยังเป็นแหล่งของใยอาหารทั้งชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ป้องกันอาการท้องผูก โรคริดสีดวงทวาร ลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยลดการดูดซึมสารอาหารพวกไขมันและน้ำตาลทำให้สารเหล่านี้เข้าสู่กระแส เลือดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

พืชผักของไทยนอกจากจะให้ประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ยังมีพืชผักในกลุ่มที่เรียกว่า พืชสมุนไพร ซึ่ง เป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยา เนื่องจากมีสารพฤกษเคมี (Phytochemical) หลายชนิด ซึ่งมีฤทธิ์แตกต่างกัน รวมทั้งให้กลิ่น รส แตกต่างกันด้วย ทำให้พืชสมุนไพรมีประโยชน์หลายด้าน ได้แก่ ด้านการเกษตรใช้ในการกำจัดแมลงศัตรูพืช โดยนำมาสกัดอย่างเข้มข้น ด้านความงามใช้ในการบำรุงผิวพรรณ ด้านการรักษาโรคใช้บำบัดอาการเจ็บปวด และด้านอาหารช่วยให้อาหารมีรสชาติหลากหลาย มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน

สารพฤกษเคมีพืชสมุนไพรมีหลายชนิด เช่น สารในกลุ่มอัลคาลอยด์ กลุ่มฟลาโวนอยด์ แอนทราควิโนน และน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น สารเคมีเหล่านี้บางชนิดมีฤทธิ์ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ บางชนิดกระตุ้นการทำงานของอวัยวะหรือระบบต่างๆ ในร่างกาย เป็นผลให้พืชสมุนไพรซึ่งเป็นพืชที่อยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยปลูกกันไว้ตาม บ้านเรือนมีสรรพคุณทางยา มีประโยชน์ต่อสุขภาพดังตัวอย่างต่อไปนี้

กระชาย เหง้า กระชายมีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธื์ขับลม ช่วยให้กระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหว รวมทั้งช่วยให้เจริญอาหาร สารเคมีในเหง้ากระชายช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิด

ตะไคร้ น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีฤทธิ์เป็นยาขับลม แก้ท้องอืด และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

มะขาม มีกรดอินทรีย์ ได้แก่ กรดทาทาริก ซิตริก ช่วยกัดเสมหะ และเป็นยาระบายลดอาการท้องผูก

ขิง เหง้าขิงแก่มีสารพวกโอลีโอเรซิน ซึ่งทำให้ขิงมีรสเผ็ด มีกลิ่นเฉพาะตัวช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ขับลม แก้จุกเสียด

ข่า มีน้ำมันหอมระเหยกลิ่นฉุน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้ท้องอืด และรักษาเกลื้อน

ขมิ้นชัน สารในเหง้าขมิ้นมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด รักษาแผลในกระเพาะอาหาร และผื่นคันตามผืวหนัง

กระเพรา ใบและต้นของกระเพราใชเป็นยาขับลม แก้ปวดท้อง และคลื่นไส้อาเจียน

ขี้เหล็ก สาร อัลคาลอยด์ในใบขี้เหล็กมีฤทธิ์ระงับประสาท ช่วยในการนอนหลับ และมีสารในกลุ่ม แอนทราควิโนน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวช่วยระบายท้อง

กระเทียม มี สารอัลลิอิน เมี่งสับหรือทุบกระเทียมให้แตกออก เอนไซม์อันลิเนสเมื่อสัมผัสกับอากาศจะเปลื่ยนสารอัลลิอินให้กลายเป็นอัลลิซิ นทำให้กระเทียมมีกลิ่นฉุน แต่สารนี้ถูกทำลายได้โดยความร้อน อัลลิซินมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องกับการไอ และลดคอเลสเตอรอลในเลือด

พริกขี้หนู สาร แคปไซซินในพริกให้รสเผ็ดร้อน ช่วยชูรสให้เจริญอาหารมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ รสเผ็ดร้อนทำให้เกิดการระคายเคืองในอวัยวะทางเดินอาหารกระตุ้นการเต้นของ หัวใจ และทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น

นอกจากพืชสมุนไพรจะมีประโยชน์ทางยาแล้ว ยังมีการนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับอาหาร ในด้านต่างๆ ได้แก่

รสชาติ รสเผ็ดของพริก พริกไทย ขิง และ ใบกระเพรา

กลิ่น กลิ่นตะไคร้ ใบมะกรูด โหระพา ข่า กระชาย ผักชี และสะระแหน่

สี สีเขียว เหลือง แดงของพริก สีขาวของขิง กระเทียม หอมใหญ่ และสีแดงอมม่วงของหอมแดง

รูปทรงที่ใช้ในการตกแต่ง ประเภทใบ ช่อ หัว กลีบ เพิ่มรูปทรงด้วยการฉีก ฝาน หั่น ซอย และสับ

อาหารเป็นช่องทางที่ทำให้ร่างกายของเราได้รับประโยชน์จากสมุนไพรได้เป็น ประจำ ทั้งในลักษณะที่เป็นส่วนประกอบหลักและส่วนตกแต่ง สี กลิ่น รสของอาหาร การใช้สมุนไพรในรูปของผักสด เช่น ยำ พล่า ลาบ และผักสดที่รับประทานกับหลนหรือเครื่องจิ้มต่างๆ จะทำให้ได้รับวิตามินซีและความสดชี่นไปพร้อมๆ กัน

สรุปแล้วการรับประทานอาหารแบบวิถีไทยที่อุดมไปด้วยพืชผักสมุนไพร เน้นอาหารจากปลา และใช้น้ำมันแต่น้อยก็ยังคงมีประโยชน์ต่อสุขภาพเสมอ นับเป็นมรดกตกทอดทางภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษไทยทิ้งไว้ให้ลูกหลาน

เรื่อง : ผศ. ทองปลิว ปลื้มปัญญา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ

ข้าวโพดสุกต้านมะเร็ง


ข้าวโพดสุกต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่ างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษ เพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูล อิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรด เฟรุลิกเป็นพวก พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อ! ยกรดเฟรุลิ กออกมาได้ม ากขึ้น หากท่านอ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ กรุณาส่งต่อให้กับคน! ที่ท่านรักต่อไป...

แหล่งที่มา heyhaparty.blogspot.com

กินอาหารเช้าทุกวัน ลด ‘อ้วน’ ได้



กินอาหารเช้าทุกวัน ลด ‘อ้วน’ ได้

วิถีชีวิตของคนเมืองในปัจจุบันที่ต้องรีบเร่งออกจากบ้านเพื่อไปให้ทัน โรงเรียนหรือทันเวลาทำงานในตอนเช้าบวกกับการต้องเสียเวลาในการเตรียมอาหาร เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่ละเลยอาหารมื้อเช้า ซึ่งถือเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน

คำถามที่ตามมาก็คือ ความสำคัญของอาหารเช้าอยู่ที่ตรงไหน และการกินอาหารเช้าจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

ดร.สิติมา จิตตินันทน์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลถึงเรื่องอาหารเช้ากับสุขภาพว่า อาหารเช้านั้น เป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน และการไม่รับประทานอาหารเช้าก็มีผลเสียมากกว่าผลดี

กล่าวคือนับจากอาหารมื้อเย็น จะเห็นได้ว่า ร่างกายของเราต้องอดอาหารมาประมาณ 10-12 ชั่วโมง ซึ่งส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ดังนั้น หากงดอาหารเช้าจะทำให้มีแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงใน มื้อเที่ยงมากขึ้น จนเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน

“อาหารเช้าที่เหมาะสมควรมีค่าพลังงานและสารอาหารอย่างน้อย 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 ของปริมาณที่ควรจะได้รับตลอดวัน ส่วนการกระจายของพลังงานในมื้อกลางวันและมื้อเย็น ควรอยู่ที่ร้อยละ 35 และ 30 ตามลำดับ และที่เหลือเป็นพลังงานจากอาหารว่างอีกร้อยละ 10”

ทั้งนี้ รายงานการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกตีพิมพ์ใน The Journal of Obesity Research ในปี 2002 พบว่า ร้อยละ 80 ของอาสาสมัครซึ่งมีมากกว่า 3,000 คน ที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักส่วนเกิน และยังสามารถรักษาน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่กินอาหารเช้าเป็นประจำทั้งสิ้น เนื่องจากการกินอาหารเช้าจะช่วยในการควบคุมความหิวและปริมาณการกินในมื้อถัด ไปได้ดีขึ้น

ดร.สิติมาให้ข้อมูลด้วยว่า นอกจากแนวโน้มในการช่วยป้องกันโรคอ้วนและเบาหวานแล้ว ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกาอีกชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2003 ยังพบด้วยว่า การกินอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือด สมองและโรคหัวใจด้วย

สำหรับการจัดเตรียมอาหารเช้าของครอบครัว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการบริโภคอาหารเช้าของเด็กและเยาวชนนั้น ผู้ปกครองควรตระหนักถึงความสำคัญของอาหารเช้าต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและทาง จิตใจของเด็ก ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะโภชนาการและความสามารถการเรียนรู้ นอกจากนี้ ผู้ปกครองและผู้ให้การเลี้ยงดูเด็กยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างแบบอย่างที่ดี ของพฤติกรรมการบริโภคอาหารเช้าให้แก่เด็กด้วย

“หากไม่มีเวลาพอ ควรเลือกอาหารพร้อมรับประทานที่สามารถหยิบฉวยได้ทันทีในตอนเช้า เช่น นมกล่อง น้ำผลไม้กล่อง และผลไม้ เช่น ฝรั่ง ส้ม แล้วนำไปรับประทานในรถระหว่างทางไปโรงเรียน หรือไม่อย่างนั้นผู้ปกครองอาจต้องเผื่อเวลาสัก 10 นาทีในการลุกขึ้นมาอุ่นอาหารซึ่งเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน เช่น ข้าวผัด บะหมี่ผัด ผัดมักกะโรนี ข้าวกับหมูทอด ข้าวต้ม เป็นต้น ปัจจุบันการอุ่นอาหารสามารถทำได้ง่ายในไมโครเวฟ ซึ่งใช้เวลาแค่ 1-2 นาที ทั้งนี้ควรเลือกทานอาหารเช้าที่มีความหลากหลาย แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการ”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.soizaa.com/know

นมวัว กับ นมถั่วเหลือง.. นมไหนดีกว่ากัน


นมวัว กับ นมถั่วเหลือง.. นมไหนดีกว่ากัน

"ที่เค้าว่านมถั่วเหลืองดีอย่างโน้นอย่างนี้ แถมราคาก็ถูกกว่านมวัว แล้วอย่างนี้เราจะหันมาดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัวซะเลยจะดีไหม"
คำถามนี้เคยเกิดขึ้นในใจ คุณบ้างรึเปล่า? วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่ว่านี้กันให้ชัดๆ เลย

ในเรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะ ได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่ คุณภาพ โปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนดีกว่า โปรตีนจากถั่วเหลือง ที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถ เสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการ เติมเครื่องต่างๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดง ลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น


พลังงานที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะ ได้พลังงานทั้งหมดพอๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียม ที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า

เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการ ให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว
หากเป็นนมถั่วเหลืองธรรมดาที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำ ให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความ ต้องการของร่างกายในสภาวะนั้นๆ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ป้าเลือดทะเล www.navy20.com

5 ไลฟ์สไตล์ของผิวใสสุขภาพดี กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ


1. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ
กินอาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้วยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใน ร่างกายอีกด้วย

กินอาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

กินอาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น

กินน้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี

ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

กินวิตามินเอ ซึ่งดีต่อสุขภาพของผิวหนังและการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายและสายตา ถ้าขาดวิตามินเอผิวหนังจะแข็งและเป็นเกล็ดฝอยไปอุดต่อมน้ำมัน และต่อมเหงื่อ วิตามินเอที่ควรกินมีอยู่ 2 ชนิด คือ แคโรทีนซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายพบอยู่ในอาหารที่มีสีส้มสดและสี เหลือง ได้แก่ แครอท มะเขือเทศ และผักใบเขียว อีกชนิดคือ เรตินอล มีอยู่ในน้ำมันตับปลา ไข่ นม และเนย

กินธาตุสังกะสี ปกติในผิวหนังมีปริมาณธาตุสังกะสีค่อนข้างสูง แต่เมื่อร่างกายเจริญเติบโตเข้าวัยหนุ่มสาวก็ยิ่งต้องการธาตุสังกะสีมากยิ่ง ขึ้น ดังนั้น การกินอาหารที่มีสังกะสีป็นประจำจึงช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน การซ่อมแซมเนื้อเยื้อ และเสริมสมดุลการทำงานในระบบฮอร์โมนต่างๆ ของร่างกายได้ครบถ้วน

ควรกินอาหารที่มีโปรตีน เช่น หอยนางรม เนื้อวัว ตับวัว ขาไก่

กินอาหารที่มีกากใย เช่น ข้าวกล้อง เมล็ดธัญพืช ผักและผลไม้ก็ช่วยให้การขับถ่ายดี ลดน้ำตาลในเลือดอันเป็นสาเหตุของสารพัดโรค

ลดปริมาณอาหารที่มีไขมันสูง ลดอาหารที่มีรสเค็มจัด และพยายามดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด เพราะอาหารเหล่านี้จะเพิ่มความดันของเลือดให้สูงเกินปกติอันจะส่งผลต่อระบบ สมดุลผิว

2.ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ

ถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่าย จะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้ออาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย

3.พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ 8-10 ชม. ช่วยให้ผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหารร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ

4.ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด เพื่อผิวและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ควรหาเวลาออกกำลังให้สม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาที

5.ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ

การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้น และควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บน ผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำยังควรต้องทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัวเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับ ผิว

ขอขอบคุณ : นิตยสาร Women Plus

ภัยของน้ำยาบ้วนปาก


ภัยของน้ำยาบ้วนปาก

การใช้น้ำยาบ้วนปากติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้ไปทำลาย เชื้อแบคทีเรียที่ดีที่อาศัยอยู่ในปากให้ตายไปด้วย

อาจนำมาซึ่งเชื้อราในช่องปาก ทำให้ตุ่มรับรสของลิ้นเพี้ยนไป มีสีเคลือบผิวฟันที่เปลี่ยนแปลง หรือทำให้เกิดหินปูนได้ง่าย
ส่วนยาสีฟันที่อ้างว่าว่าสามารถลดแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นปากได้นั้น ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า
ยาสีฟันจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในปากได้
ซึ่งประสิทธิภาพของยาสี ฟันที่อ้างว่าลดแบคทีเรีย ไม่แตกต่างกับการแปรงฟันด้วยยาสีฟัน
อะไรก็ได้อย่างถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันในซอกฟันส่วนที่แปรงไปไม่ถึง

กลิ่นปากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปากชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจน ผลิตก๊าซในกลุ่มซัลเฟอร์ กลิ่นปากยังเกิดได้จากผู้ป่วย
มีโรคอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคกรดไหลย้อน หากรักษาโรคเหล่านั้นกลิ่นปากก็จะหายไป รวมทั้งกลิ่นปากจากโรคในช่องปาก
เช่น โรคปริทนต์ โรคเหงือก ฟันผุ ฯลฯ วิธีการตรวจว่ามีกลิ่นปากจริงหรือไม่นั้น ทำได้โดยการสังเกต จากคนรอบข้าง หรือเอา
ช้อนมาขูดลิ้นแล้วทิ้งไว้ 5 วินาที จากนั้นนำมาดม หากพบว่ามีกลิ่นเหม็นก็แนะนำให้มาพบทันต แพทย์เพื่อตรวจเช็คปัญหา
ในช่องปาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ป้าเลือดทะเล www.navy20.com

ภัยจากน้ำนางเอกทำสมองเฉื่อยชา!!


ภัยจากน้ำนางเอกทำสมองเฉื่อยชา

ทราบหรือไม่ว่าน้ำส้มหรือน้ำรสส้มที่วางขายในท้องตลาด ส่วนใหญ่จะมีน้ำตาลผสมอยู่มาก
เมื่อนำมาทดสอบหาวิตามินพบว่าส่วนใหญ่ไม่มีวิตามินเหลืออยู่ หรือไม่เหลือในปริมาณที่น้อยมาก
ที่สำคัญคุณเคยสังเกตฉลากข้างขวดหรือไม่ว่าน้ำส้มที่ผสมวิตามินนั้นไม่ควรมาพร้อมกับวัตถุกันเสีย
(เบนโซติก)เพราะข้อมูลจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่าหากทั้ง 2 สิ่งมาอยู่รวมกัน
อาจทำให้เกิดสารพิษสารพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพได้

ความจริงวิตามินซีนั้นสามารถถูกทำลายได้ง่ายมากและกว่าจะมาถึงมือผู้บริโภคต้องผ่านกระบวนการต่างๆ
เช่น การขนส่ง การจัดเก็บ ซึ่งโดนทั้งแสงและความร้อน ส่งผลให้ปริมาณวิตามินซีลดลงไปเรื่อยๆ

แนะนำว่าหากต้องการดื่มน้ำส้มก็ควรจะเลือกชนิดขวดหรือกล่องขนาดเล็กหรือแบ่งดื่มเพื่อไม่ให้ตัวคุณ
รับน้ำตาลมากเกินไปเพราะน้ำส้มบางยี่ห้อปริมาณน้ำตาลถึง 10 กว่าช้อนชา นั่นแสดงว่าน้ำส้มพร้อมดื่มไม่น่าจะ
ใช่ทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับนางเอกเสียแล้ว


ขอขอบคุณ teejaw หนังสือ ' แม่บ้าน ' ฉบับที่ 479

แพทย์เตือนคนเครียดเสี่ยงเซลล์มะเร็งเพิ่ม-เป็นเริม


ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นเหตุให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้เร็วขึ้น ติดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ...?

วันนี้ (25 เม.ย.) นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการใช้หลักสมาธิบำบัคลดโรคช่วงหน้าร้อน ว่า หน้าร้อนปีนี้ร้อนมาก คนส่วนใหญ่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายจากสภาวะสิ่งแวดล้อม และมักเป็นการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ด้านลบ เพราะความร้อนส่งผลให้อารมณ์เกิดภาวะเครียด หงุดหงิด นอนไม่หลับ ไม่สบายตัว บางครั้งจะเกิดอารมณ์โกรธกันได้ง่ายๆ การทำสมาธิเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยบำบัดความเครียดและอารมณ์ที่ร้อนกว่าปกติ ได้??

อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวด้วยว่า จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ความ เครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นเหตุให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้เร็วขึ้น ติดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ เป็นเหตุกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้อาการเบาหวานและโรคหอบหืดเลวลง เกิดลำไส้อักเสบ เซลล์สมองเสื่อมลงความจำเสื่อมลง นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่มีภาวะเครียดมักจะเกิดเริมที่ริมฝีปากและอวัยวะเพศ บ่อย ๆ คนที่โกรธมาก ขนาดของเส้นเลือดก็จะตีบมากด้วยเช่นกัน ล้วน เป็นผลร้ายทั้งสิ้นในทางตรงกันข้ามคนที่มีอารมณ์ดี ร่าเริง มีความสุขมีเสียงหัวเราะบ่อย ๆ มีจิตเมตตา จะมีเซลล์ของภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งการทำสมาธิจะช่วยได้มาก สนใจข้อมูลติดต่อสำนักงานการแพทย์ทางเลือก www.dtam.moph.go.th

ขอบคุณข้อมูล : ไทยรัฐออนไลน์

คำแนะนำ 10 ประการ เพื่อชีวิตห่างไกลมะเร็ง


มะเร็ง เป็นโรคที่เกิดกับใครก็ได้ ไม่ว่าเด็กหรือแก่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย จะร่ำรวยหรือยากจน มะเร็งยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ของผู้คนทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา และองค์ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของโรคมะเร็งได้รับการพัฒนาไปมากพอ จนเราเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็งได้ และนี่คือคำแนะนำ 10 ประการ ที่คุณสามารถลงมือปฏิบัติได้ เพื่อชีวิตที่ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

1. ลดหรือเลิกบุหรี่ ในแต่ละปีมะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งชนิดต่างๆ ทั้งหมด ดังนั้น หากคุณติดบุหรี่ การเลิกสูบเสียแต่วันนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญที่สุด ที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ เลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณสามารถขอคำปรึกษาถึงวิธีการเลิกแบบต่างๆ จากแพทย์ได้ ทั้งการรักษาด้วยยา หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณเลิกบุหรี่ได้

2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลายคนคงยังจำได้ดีเวลาถูกพ่อแม่บังคับให้กินผัก และก็คงไม่ได้คิดว่าพวกท่านจะทราบอะไรดีๆ ที่พวกเราไม่รู้ แต่การถูกบังคับให้กินผักนี้กลับเป็นประโยชน์มากต่อตัวเราเอง เพราะผักจำพวก บร็อกโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี และกะหล่ำดาว ที่คนส่วนน้อยจะชอบรับประทานนั้น กลับอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ ผลเบอร์รี่ ถั่วแดง และชาเขียว ก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผล ร้ายต่อเซลล์ปกติ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ

3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ การออกกำลังกายในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบ นักกีฬา แต่การเล่นโยคะ เดิน หรือเต้นแอโรบิกก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ดีที่ สุดเช่นกัน นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด

4. ตรวจสุขภาพประจำปี มีหลักฐานยืนยันว่า การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจพบมะเร็งแต่เนิ่นๆ ทำให้โอกาสที่จะรักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และยังช่วยให้การรักษาฟื้นฟูทำได้เร็วขึ้นโดยมีผลข้างเคียงลดลง ดังนั้น ควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอและขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องการตรวจคัดกรอง มะเร็งที่เหมาะกับวัยของคุณ เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรทำเมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือชายในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก

5. ดื่มแต่พอดี การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปอาจเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน)

6. สืบสาวเรื่องราวครอบครัว มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือพูดง่ายๆ มะเร็งสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ดังนั้น การได้ทราบว่าคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็งชนิดใด ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะสามารถให้คำแนะนำและดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม

7. หลีกเลี่ยงแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง ซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ง่ายๆ 2 วิธี คือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด

8. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่าประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูก มีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญเชื้อ HPV นี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่ง โดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์

9. นอนหลับให้สนิท จากการศึกษาพบว่า การนอนหลับให้สนิทจะมีผลไม่ทำให้เป็นมะเร็ง เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่าสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สมองผลิตในระหว่างการนอนหลับมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับ มะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อการนอนนั้น เป็นการนอนหลับอย่างสนิท ต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น

10. หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย สารจำพวกยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซิน นั้น เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเหล่านี้ในบ้าน หรือที่ทำงาน ย่อมเป็นการลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟ หรือ PBDE ซึ่งมักจะใช้กับผ้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วยเช่นกัน



ขอขอบคุณ : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

10 วิธีดูแลสมอง


เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปไกลมาก วิวัฒนาการใหม่ๆ เข้ามามีส่วนช่วยให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น แต่การที่คนเราสะดวกสบายมากขึ้น ก็ทำให้ใช้สมองน้อยลงและพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น แต่สมองนั้นเหมือนมีดที่ยิ่งลับยิ่งคม ยิ่งไม่ได้ใช้ยิ่งทื่อ สุขภาพกายฉบับนี้จึงมีวิธีดูแลสมองของเราให้พัฒนาอยู่ตลอดเวลามาฝากกัน

1. กินเพื่อสมองดี

หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ทั้งๆ ที่รู้ แค่คนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยอาหารเช้า เพราะความเร่งรีบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกินอาหารเข้านั้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากอดอาหารมาตลอดคืน หากใครที่กินอาหารเช้าเป็นประจำก็จะทำให้ความจำดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารที่ดี และงดอาหารขยะอย่างเด็ดขาด

2. คิดเพื่อสมองดี

ลอง สังเกตว่าวันไหนที่เราตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ดี วันนั้นเราจะรู้สึกดีไปตลอดวัน แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อๆ หรือเจอเรื่องแย่ๆ แต่เช้า ความรู้สึกนี้ก็จะคิดตัวไปตลอดทั้งวัน ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด ดังนั้นหากอยากให้มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น และทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งคิดอะไรออก ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็ลืมมันซะ

3. พักผ่อนหันหาอากาศบริสุทธิ์

การ พักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานหนัก ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะสมองจะได้พักผ่อนจากเรื่องสำคัญมากๆ และเรื่องราวความเครียดต่างๆ ที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ในหนึ่งปี อาจจะมี 2-3 วัน ที่คุณควรเลือก ที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อหาที่พักตากอากาศแบบสบายๆ เงียบสงบ ให้สมองได้พักผ่อน รวมทั้งหาอากาศที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเติมพลังให้สมอง

4. เรียนรู้สิ่งใหม่

การ พัฒนาสมองให้ได้ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จะได้พัฒนาสมอง เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ เรื่องราวการแพทย์ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารอร่อยๆ ที่คุณไม่เคยลอง ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองได้พัฒนาเช่นกัน การเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ หรือสแครบเบิล ก็สามารถที่จะทำให้ความจำดีขึ้นได้ถึง 40% (จากผลการทดลองของอาสาสมัครในรายการบีบีซี ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549)

5. เขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด

การ เขียนถือเป็นการพัฒนาสมองได้เหมือนกัน เพราะสมองซีกซ้ายของเรานั้นเป็นส่วนบังคับการเขียน หากใครที่ถนัดมือไหนอยู่ ก็ให้หัดลองใช้มืออีกข้างเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ เพื่อให้สมองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มเติม และยังมีส่วนช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย

6. ยิ้มไว้โลกจะแตกก็ยิ้มไว้

เวลา ที่เราทำอะไรก็ตาม หากเรายิ้มคนรอบข้างก็จะได้รับทราบถึงความรู้สึกดีๆ ของเรา แต่ควรจะยิ้มจากภายใน ไม่ต้องฝืน เพราะแววตาของรอยยิ้มนั้นหลอกกันไม่ได้ หากคุณรู้จักที่จะยิ้ม ก็จะทำให้สมองมีแต่เรื่องดีๆ มีความสุข การยิ้มอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องมีโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารนี้จะไปออกฤทธิ์ให้ม่านตาขยายและทำให้ตาเป็นประกาย

7. หายใจช่วยให้สมองใส

การ หายใจอย่างถูกวิธี มีส่วนช่วยพัฒนาสมองให้ได้ผลดีมากทีเดียว เพราะสมองของเรานั้นใช้ออกซิเจนมากถึง 20-25% ของทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากเรารู้จักหายใจ เข้า-ออก ช้าๆ ลึกๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็จะทำให้สมองได้รับพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม

8. เข้านอนแต่หัวค่ำ

ภาย ในร่ายกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ดังนั้นหากเราเข้านอนในช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่ายกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

9. นั่นสมาธิ จิตมีพลัง

การ นั่งสมาธิ จะส่งผลให้สมองเข้าสู่ช่วงที่เป็นคลื่น Theta (ธีค้า หรือการที่สมองได้เข้าสู่การเข้าสมาธิแบบลึก) ทำให้สมองได้ผ่อนคลายสุดๆ และเกิด Mental Imagery (ภาพจินตนาการที่สมองสร้างขึ้น) ส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่ดีออกมา ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์

10. เสริมวัตามิน กินไขมันดี

กิน ไขมันดี หรือที่เราเรียก โอเมก้า 3 เพื่อเข้าไปทดแทนส่วนของสมองที่เป็นในไขมันที่สึกหรอไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินบำรุงสมองอื่นๆ อีก เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย วิตามินบี1 บี6 บี12 น้ำมันพริมโรสที่ช่วยให้เซลล์ชุ่มน้ำและวิตามินซีที่ทำให้กระปรี้กระเปร่า

ขอขอบคุณ : Mix Magazine

สุขภาพเสื่อมจากคอมพิวเตอร์...ผักผลไม้ช่วยได้

สุขภาพเสื่อมจากคอมพิวเตอร์...ผักผลไม้ช่วยได้

เคยนับดูเล่นๆ ไหมคะว่า วันหนึ่งๆ เราต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์วันละกี่ชั่วโมง เมื่อไม่นานมานี้ พนักงานหญิงของออฟฟิศแห่งหนึ่งในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน นิยมสวมหน้ากากกันทั่วออฟฟิศ เพราะต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ 4-5 ชั่วโมง สำหรับคนทำงานอย่างเราๆ ฟังแล้วก็ได้เวลาสังเกตตัวเองว่ามีปัญหาสุขภาพบ้างหรือเปล่า ลองมาเช็คอาการ พร้อมกับดูอาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายกันเลยค่ะ

ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนล้า กล้ามเนื้อเกร็ง ตึง

การรับประทานบร็อกโคลี่ ปลากินทั้งกระดูก เพราะมีแคลเซียมที่จำเป็นต่อการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทและต่อการเกร็ง คลายกล้ามเนื้อ รับประทาน ผักโขม ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดทานตะวัน จมูกข้าวสาลี ที่มีแมกนีเซียม ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย

ตาอ่อนล้า ตาพร่ามัว

ควรรับประทาน คะน้า พริก ผักปวยเล้ง มันเทศ ผักหวานบ้าน ตำลึง เพราะมีลูเทอินและซีเซนทิน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมของศูนย์จอตา ลดความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเสื่อมตาได้ นอกจากนี้ควรรับประทาน แครอต ผักปวยเล้ง ฟักทอง เพราะมี เบตาแคโรทีน มีส่วนช่วยป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตา

มีปัญหาผิวหน้า

หากมีปัญหาผิวหน้า เช่น มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และสงสัยเหมือนสาวๆ ที่ประเทศจีนว่า อาจเกิดจากรังสีจากคอมพิวเตอร์ ควรรับประทาน ผักผลไม้สีสดทุกชนิด เพื่อเพิ่มสารต้านออกซิเดชั่น นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารเย็นที่ย่อยง่ายและรสไม่จัด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่หนัก ทำให้เริ่มวันใหม่อย่างสบายตัว

เมื่อกินถูกแล้ว ก็อย่าลืมออกกำลังกายช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงด้วยนะคะ

ขอขอบคุณ : นิตยสารชีวจิต