วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รวบรวม April fool's day ฉบับวิทยาศาสตร์ในปีก่อนๆที่ผ่านมา


เป็น บทความสาระบันเทิงที่เขียนไว้เมื่อปีที่แล้ว (2552) ครับ แต่ลืมเก็บไว้ในบล็อก ทีนี้จะเก็บหลังวันที่ 1 เมษาหน้าโง่ ก็รู้สึกว่าจะเสียอรรถรส จึงรอให้มันผ่านพ้นไปอีกปีแล้วเอามาลงบล็อกครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่า ไม่เรียงลำดับเวลานะครับ









1957: The Swiss Spaghetti Harvest BBC ออกข่าวว่าชาวไร่ปลูกต้นสปาเกตตี้สำเร็จ ใช่แล้วครับ ต้นไม้ที่ให้ผลเป็นเส้นสปาเก็ตตี้และเหมาะที่จะกินกับซอสมะเขือเทศเป็นที่ สุด!




1962: Instant Color TV เมื่อห้าสิบปี ที่แล้ว ทีวียังเป็นข่าวดำอยู่ และประเทศสวีเดนก็มีทีวีเพียงช่องเดียว Kjell Stensson แห่งสถานีดังกล่าวประกาศว่า ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ผู้ชมทีวีสามารถเห็นภาพสีได้ด้วยการเอาถุงน่องไนล่อนสวมครอบทีวี! มีผู้ชมทีวีกว่าพันคนหลงเชื่อและทำตาม


1998: Alabama Changes the Value of Pi หนังสือพิมพ์ New Mexicans for Science and Reason ลงข่าวว่ารัฐ Alabama มีผลโหวตให้เปลี่ยนแปลงค่า Pi จาก 3.14157 เป็น 3.0 ตามคัมภีร์ไบเบิล

จุด เริ่มต้นของโกหกนี้มาจากอินเตอร์เน็ตและ fw แพร่สะบัดไปทั่วในเวลาอันสั้น ไม่นานนัก รัฐ Abalama ก็ถูกกระหน่ำประท้วงโดยโทรศัพท์เป็นร้อยๆสาย ก่อนที่จะทราบในที่สุดว่า เป็นแค่เรื่องโอละพ่อวันเอพริลฟูล โดยมาจากมุกของนักฟิสิกส์คนหนึ่งที่ ชื่อว่า Mark Boslough


1998: The Left-Handed Whopper เบอร์เกอร์คิงออกเมนูใหม่ชื่อว่า "The Left-Handed Whopper" หรือเบอร์เกอร์สำหรับคนถนัดซ้าย!เพื่อชาวอเมริกันกว่า 32 ล้านคนในประเทศที่ถนัดซ้าย

เบอร์เกอร์มีองค์ประกอบเหมือนเดิมทุกอย่าง ยกเว้นเพียงแต่เติมเครื่องปรุงที่มีประโยชน์สำหรับคนถนัดซ้ายเท่านั้น

ผลที่ตามมาคือ มีลูกค้าถามหาเมนูนี้เป็นจำนวนมากแถมยังเรียกร้องเมนูสำหรับคนถนัดขวาบ้างอีกต่างหาก!


1995: Hotheaded Naked Ice Borers นิตยสาร Discover รายงานการค้นพบสัตว์สปีชี่ใหม่ในทวีปแอนตาร์กติก Hotheaded Naked Ice Borers เป็นสัตว์ประหลาดที่มีกระโหลกศีรษะคล้ายแผ่นจานที่มีความร้อนสูงมากเนื่อง จากมีเส้นเลือดไปไหลเวียนจำนวนมาก ความร้อนจากศรีษะสามารถทำให้มันขุดเจาะ หลอมหลายหิมะหรือน้ำแข็งได้อย่างสบายๆ

Hotheaded Naked Ice Borers เป็นสัตว์ที่ดุร้ายและกินนกเพนกวินเป็นอาหาร Dr. Aprile Pazzo ยังกล่าวอีกว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างลึก ลับของนักสำรวจทวีปแอนตาร์กติก Philippe Poisson ในปี 1837

"มันอาจจะคิดว่าเขาเป็นนกเพนกวิน" (อืม คิดได้เนอะ)




1976: Planetary Alignment Decreases Gravity นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ Patrick Moore ออกมาประกาศผ่านข่าว BBC ถึงปรากฏการณ์หายากทางดาราศาสตร์ที่ทุกคนสามารถสัมผัสกับปรากฏการณ์ดังกล่าว ได้ด้วยตนเองที่บ้าน ผลจากการที่ดาวพลูโตโคจรไปอยู่ด้านหลังดาวพฤหัสชั่วระยะเวลาหนึ่งจะทำให้แรง ดึงดูดโลกถูกหักล้าง ดังนั้นแรงโน้มถ่วงของโลกจึงลดลง!

ผู้ชมทางบ้าน สามารถพิสูจน์ได้ด้วยกระโดดสูงๆในช่วงเวลาดังกล่าว มีโทรศัพท์มาที่ BBC จากผู้ชมทางบ้าน... บางคนอ้างว่าตนเองหมดความรู้สึกเรื่องโน้มถ่วงไปเลย

ผู้หญิงคนหนึ่งอ้าง ว่าเพื่อน 11 คนของเธอล่องลอยไปทั่วห้อง!


1989: UFO Lands in London

ผู้ คนบนถนนไฮเวย์นับพันต่างเห็นปรากฏการณ์นี้ร่วมกัน จานบินลำหนึ่งค่อยๆร่อนลงจอดบนพื้นอย่างช้าๆ ตำรวจถูกเรียกมารักษาการกันเต็มท้องถนน

เมื่อตำรวจพากันมาถึงแล้ว นายตำรวจผู้กล้าที่สุดเดินนำหน้าเผชิญกับจานบินดังกล่าว แต่เมื่อประตูจานบินนั้นเปิดขึ้น และมีร่างในชุดสีเงินเดินออกมา ทุกคนก็ต่างผงะถอยหลังไปพร้อมๆกัน

ปรากฏว่าจานบินนั้นค่อยๆแฟบลงและทุกคนก็ได้รู้ว่ามันเป็นเพียงบอลลูน!

และร่างในชุดสีเงินคือกระทาชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่า Richard Branson
อันที่จริงเขาตั้งใจจะร่อนจานบินลวงโลกนี้ที่ Hyde park แต่คงคำนวณแรงลมไม่ดี ก็เลยพลาดหวัง


แต่ผมว่ามัน เป็นเอพริลฟูลที่ cool! มากนะ อันนี้




2008: Flying Penguins ตะลึง!!! นักวิทย์เมืองผู้ดีเผย โลกร้อนมีผลให้นกเพนกวินบินได้

ถ้าโลกร้อนแล้วทำให้น้องเพนกวินบินได้ ก็น่าดูนะ




1972: The Body of Nessie Found นักสัตววิทยาจากสวนสัตว์ Yorkshire's Flamingo Park พบหลักฐานการมีอยู่ของสัตว์ประหลาดเนสซีแห่งทะเลสาปล็อคเนสเมื่อพบซากศพของ สัตว์ประหลาดดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลสาปซึ่งหนักตันครึ่งและยาว 15 ฟุตครึ่ง

ทีม งานจากสวนสัตว์แบกซากศพดังกล่าวใส่รถตู้เพื่อกลับไปตรวจสอบที่สวนสัตว์แต่ ดันเจอตำรวจระหว่างทางและถูกสงสัยถึงสิ่งที่ขนส่งมา ซากศพถูกส่งไปพิสูจน์ที่อื่นและพบว่าเป็นเพียงซากช้างน้ำขนาดใหญ่

วัน ถัดมา เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ John Shields ออกมาสารภาพว่าเป็นฝีมือของเขาที่จะแกล้งเพื่อนร่วมงานวันเอพริลฟูล โดยการนำซากช้างน้ำที่ตายแล้วกว่าสัปดาห์จากสวนสัตว์อื่น ตัดหนวดและขนของมันเสีย ยัดก้อนหินให้ตัวหนักขึ้น และแช่แข็งเอาไว้เป็นสัปดาห์ เมื่อถึงเวลาก็หย่อนลงไปในทะเลสาป และให้ชัวร์ขึ้นโดยการโทรศัพท์ลึกลับแจ้งเหตุ

แต่ที่ไม่ได้อยู่ในแผนคือ การเจอตำรวจระหว่างทาง


1975: Metric Time This Day Tonight รายการข่าวออสเตรเลียประกาศให้ทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบมาตรเวลา เปลี่ยนแปลงจากเดิมเป็น 100 วินาทีเท่ากับ 1 นาที 100 นาทีเท่ากับ 1 ชั่วโมง และ 20 ชั่วโมงเท่ากับ 1 วัน แถมชื่อก็เปลี่ยนอีกด้วย

วินาทีเปลี่ยน เป็นมิลลิเดย์ (millidays)
นาทีเป็นเซนตริเดย์ (centridays)
และ ชั่วโมงเป็นเดซิเดย์ (decidays)

นอกจากนี้ทางรายการยังโชว์นาฬิกาแบบ ใหม่ที่มีหน้าปัด 10 ชั่วโมง

แต่ผู้ชมส่วนใหญ่จับได้ว่าเป็นเรื่อง โกหกนะ




1934: Man Flies By Own Lung Power หนังสือพิมพ์อเมริกันหลายฉบับลงข่าวชายผู้สามารถบินได้ด้วยลมจากปอดตนเองร่วมกับเครื่องมือที่เก็บลมที่เขาเป่าออก

ชาย คนดังกล่าวเป็นนักบินชาวเยอรมัณผู้สามารถเก็บลมหายใจใส่ในกล่องที่ติดกับ หน้าอกซึ่งจะกระตุ้นให้เครื่องยนต์ทำงานและยกตัวเขาลอยเหนือพื้นดินได้




1978: The Sydney Iceberg เรือขนส่งลำหนึ่งลากเอาก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่มายังซิดนีย์ Dick Smith มหาเศรษฐีนักเดินทางภาคภูมิใจที่จะกล่าวว่า เป็นฝีมือของเขาเองที่ลากก้อนน้ำแข็งดังกล่าวมาจากทวีปแอนตาร์กติก นายสมิธกล่าวว่าเขาจะบดน้ำแข็งให้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมแล้วขายประชาชนในราคา ก้อนละ 10 เซ็นต์

เขาอ้างว่าน้ำแข็งจากแอนตาร์กติกนั้นเป็นน้ำแข็งที่บริสุทธิ์และจะช่วยทำให้รสชาติของเครื่องดื่มที่ใส่มันลงไปดีขึ้น

ความ มันแตกเอาตอนฝนตก ชะล้างเอาเศษโฟมและครีมโกนหนวดออกไปแล้วทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งดังกล่าวเป็นแค่ขยะพลาสติกชิ้นหนึ่งดีๆนี่เอง




1915: Bombs Away! ช่วงกลางของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
นาวาอังกฤษหย่อนลูกระเบิดลงกลางแคมป์ทหารเยอรมัณ ทหารเยอรมัณต่างกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง

แต่ระเบิดนั้นไม่ทำงาน

ทหารเยอรมัณนำระเบิดดังกล่าวไปตรวจสอบอย่างระมัดระวัง

ผลปรากฏว่ามันเป็น แค่ลูกฟุตบอลขนาดใหญ่ที่เขียนเอาไว้ว่า...
"April fool!"



อัน นี้ก็ cool! ฮะ


2002: Whistling Carrots ห้างสรรพสินค้าของอังกฤษนาม Tesco (เอ...ชื่อคุ้นๆนะ 555) ประกาศว่ามีสินค้าใหม่ ซึ่งเกิดจากเทคนิคทางพันธุวิศวกรรม 'Whistling Carrots' คือแครอทที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้เจริญเติบโตโดยเกิดโพรงอากาศภายใน

ขณะที่คุณแม่บ้านประกอบอาหารจากแครอทดังกล่าว (เข้าใจว่า ผัด/ทอด/ให้ความร้อน) โพรงอากาศที่อยู่ภายในจะทำให้เกิดเสียงเหมือนผิวปาก


2007: The Derbyshire Fairy ภาพนี้คงเห็นกันบ่อยเลยนะครับ จุดกำเนิดมาจากสองปีที่แล้ว ภาพแฟรี่ลึกลับระบาดไปทั่วอินเตอร์เนต

เว็บมาสเตอร์ของ Lebanon Circle website ออกมาประกาศว่าเป็นฝีมือของเขาเองที่ทำหลอกเล่นๆเนื่องในโอกาสเอพริลฟูล

กระนั้น ยังมีคนอีกมากไม่ยอมรับคำสารภาพดังกล่าว และส่งอีเมล์บอกให้เขายืนยันว่ามันเป็นของจริง!




1980: Big Ben Goes Digital BBC ประกาศว่า เพื่อรักษาความเที่ยงตรงของเวลา หอนาฬิกาบิ๊กเบนจะเปลี่ยนเป็นแบบดิจิตอล ประชาชนจำนวนมากช็อคกับข่าวนี้ครับ




1973: Dutch Elm Disease Infects Redheads BBC ประกาศข่าวโรคระบาดชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า Dutch Elm Disease โรคระบาดดังกล่าวเดิมเป็นโรคที่ีเกิดขึ้นกับต้นไม้ แต่สำหรับคนจะก่อให้เกิดอาการคล้ายหวัด หากแต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นนอกจากอาการคล้ายหวัดแล้วคือ คนที่มีผมสีแดง ผมจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แล้วค่อยๆร่วงออก และเมื่อตรวจเลือดของคนที่ติดเชื้อ ก็จะพบองค์ประกอบคล้ายๆกับที่พบในดินของพืชที่ติดเชื้อ

BBC แนะนำให้ผู้มีผมสีแดงหลีกเลี่ยงการท่องป่าในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อป้องกันผม เปลี่ยนสีและร่วง


1979: Operation Parallax สำนักข่าววิทยุแห่งลอนดอนประกาศให้ประชาชนทราบว่า ประเทศอังกฤษมีปฏิทินล่วงหน้า ประเทศอื่นๆทั่วโลกไปถึง 48 ชั่วโมงนับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา! (แล้วทำไมเพิ่งมารู้ฟะ)

เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ราชการอังกฤษขอประกาศยกเลิกวันที่ 5 และ 12 เมษายนของปี 1979 เสีย!

ทางวิทยุได้รับโทรศัพท์ร้องเรียนเป็นจำนวนมากจากการประกาศดังกล่าว
นาย จ้างคนหนึ่งสงสัยว่าเธอจะต้องจ่ายเงินให้ลูกจ้างสำหรับวันที่หายไปหรือไม่ หญิงสาวคนหนึ่งถามว่าเธอจะต้องทำอย่างไรกับวันเกิดของเธอปีนี้ที่หายไป!


1965: Dogs to be painted white นสพ.เดนมาร์ก ประกาศให้ทราบถึงกฎหมายใหม่ กล่าวคือประชาชนทุกคนที่เลี้ยงสุนัข ต้องทาขนสุนัขของตนเองให้เป็นสีขาว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนที่อาจ เกิดขึ้นยามค่ำคืน




1997: Internet Spring Cleaning มีอีเมล์แพร่สะพัดไปทั่วประกาศให้นักท่องเน็ตห้ามใช้อินเตอร์เนตในวันเอพริ ลฟูล เนื่องจากจะมีการกวาดล้าง ทำความสะอาดระบบอินเตอร์เนตทั้งหมด กำจัดขยะทั้งหลาย เว็บไซต์ที่ตายแล้วในระบบ

มุกนี้ถูกนำมาใช้อีกครั้งในเวลาต่อมา แต่เปลี่ยนจากการทำความสะอาดเน็ตเวิร์กอินเตอร์เนตเป็นระบบสายโทรศัพท์


1984: Tasmanian Mock Walrus Orlando Sentinel ลงข่าวเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงชนิดใหม่ Tasmanian Mock Walrus (TMW) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในฟลอริดา

TMW ตัวจิ๋วมีขนาดเพียง 4 นิ้ว รูปร่างเหมือนวอลรัส ขนเหมือนแมว อุปนิสัยเหมือนแฮมสเตอร์ กินแมลงสาปเป็นอาหาร และสามารถเลี้ยงได้ในกล่องเล็กๆ ในข่าวยังเสนออีก ว่า TMW เหมาะสำหรับช่วยกำจัดแมลงสาบภายในบ้าน

อย่างไรก็ตาม มีการลักลอบนำเข้า TMW จากทาสมาเนียอย่างผิดกฎหมาย
และรัฐบาลก็เป็นห่วง ว่าการนำเข้าสัตว์เลี้ยงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจกำจัดแมลงสาบ




1993: Don’t Disturb the Squirrels สำนักข่าววิทยุเยอรมัณประกาศกฏหมายใหม่ห้ามนักวิ่งจ็อกกิ้งวิ่งเร็วเกิน 6 เมตรต่อชั่วโมงเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนกระรอกในฤดูผสมพันธุ์


2007: The Sheep Albedo Hypothesis RealClimate.org เสนอข่าวเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนนอกจากจะเกิดจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศแล้ว ยังเกิดจากการลดลงของประชากรแกะด้วย

นัก อุตุนิยมวิทยากล่าวว่า เนื่องจากแกะมีขนสีขาวและชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม พวกมันจึงช่วยสะท้อนแสงแดดที่ตกกระทบสู่ผิวโลก เรียกว่า Albedo feedback effect แต่เนื่องจาก ปัจจุบัน จำนวนแกะบนโลกนี้ลดลง จึงทำให้แสงแดดตกกระทบพื้นผิวโลกมากขึ้น และเป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน




2003: Assassination of Bill Gates CNN ร้ายมากที่เล่นข่าวนี้
ข่าวบิลล์ เกตส์ถูกลอบสังหารทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีดร็อปลงถึง 1.5%!

โทษใครได้ ล่ะทีนี้




2005: Water on Mars

ขอโทษเถอะครับ...นี่คือมุกของนาซ่า ย้ำ...นาซ่า

ภาพล่าสุด! ค้นพบน้ำบนดาวอังคาร



















Water on Mars




1965, 2007: Smell-o-vision BBC กล่าวถึงเทคโนโลยีใหม่ที่ผู้ชมรายการ BBC สามารถ"ได้กลิ่น"จากจอทีวี โดยเพียงใช้มือสัมผัสทีวี ทางรายการได้สาธิตด้วยกลิ่นหัวหอมและกลิ่นกาแฟ ปรากฏว่ามีผู้ชมทางบ้านบางรายโทรมายืน ยันว่าได้กลิ่นดังกล่าวจริงๆ

ในปี 2007 มุกนี้ถูกนำมาเล่นอีกครั้งในเวอร์ชั่น internet




แต่ในรูปประกอบคือเทคโนโลยีของจริง ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่กลางศตวรรษที่แล้ว




1984: Daylight Savings Contest Eldorado Daily Journal รัฐอิลลินอยส์ จัดงานแข่งขัน "เก็บแสงแดดยามกลางวัน" กติกาคือผู้เข้าแข่งขันเริ่มต้นเก็บแสงในวันที่กำหนด ใครเก็บได้มากที่สุดคนนั้นชนะ แสงที่เก็บต้องเป็นแสงกลางวันบริสุทธิ์ เท่านั้น แสงสนธยา แสงจันทร์ไม่นับ (แต่แสงใต้ร่มเงายอมรับได้) แสงแดดที่เก็บได้จะใส่ในภาชนะใดก็ได้

แค่โจ๊กขำๆที่ดูก็น่าจะรู้ว่าโกหก แต่ปรากฏว่ามีคนสนใจเข้าแข่งขันเยอะมากทั่วทั้งประเทศ!


1981: Michigan Shark Experiment นสพ. Herald-News รัฐมิชิแกนได้เลือกทะเลสาบสามแห่งเพื่อทำการทดลอง "การศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับการอาศัยและการสืบพันธุ์ของปลาฉลามน้ำจืด หลายชนิด"

จากหัวข้อทดลองดังกล่าว ปลาฉลามสองพันตัวจะถูกปล่อยลงในทะเลสาบ ปลาฉลามดังกล่าวนั้นมีทั้ง ปลาฉลามหัวฆ้อน ปลาฉลามสีน้ำเงิน ปลาฉลามขาว เพื่อพิสูจน์ว่าปลาฉลามสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ในน้ำเย็นในเขตรัฐมิชิแกน (พิสูจน์ทำไม?)

มีการกล่าวว่ารัฐบาลลงทุนไปกับโปรเจ็คนี้ถึง 1.3 ล้านเหรียญ

นอก จากนี้ยังมีนักชีววิทยาออกมาแสดงความกังวลถึงระบบ นิเวศน์ในทะเลสาบที่จะถูกปลาฉลามรบกวน ท่ามกลางความหวาดผวาของนักตกปลา และนักว่ายน้ำในทะเลสาบดังกล่าว อ้อ! รัฐยังออกกฎห้ามไม่ให้นักตกปลาจับปลาฉลามในทะเลสาบด้วยนะ (ห้ามทำไม?)


1940: World to End Tomorrow

อันนี้ เล่นแรงครับ แต่ส่วนตัวเห็นว่าไม่ cool อ่ะ

March 31, 1940 the Franklin Institute;

"Your worst fears that the world will end are confirmed by astronomers of Franklin Institute, Philadelphia. Scientists predict that the world will end at 3 P.M. Eastern Standard Time tomorrow. This is no April Fool joke. Confirmation can be obtained from Wagner Schlesinger, director of the Fels Planetarium of this city."


1998: MITkey Mouse the Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT ประกาศในเว็ปไซต์องค์กรว่า บริษัท Walt Disney Co. ได้ถูก MIT ซื้อกิจการแล้วด้วยมูลค่า 9.6 พันล้านเหรียญ

MIT ยังโชว์รูปโดมของมหาวิทยาลัยที่ครอบด้วยหูมิคกี้เม้าส์ด้วย
(น่ารักเสียไม่มีล่ะ)

สิ่งที่ cool ของเรื่องนี้คือ...










MIT ไม่ได้เป็นคนประกาศข่าวนี้จริงเสียหน่อย แต่เป็นฝีมือของนักศึกษาตัวแสบ ที่แฮกเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยตนเอง!

MIT นะเฟ้ย!




2000: PETA’s Tournament of Sleeping Fish องค์กร PETA (the People for the Ethical Treatment of Animals) ที่น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีถึงความรักสัตว์จนเพี้ยน บ้าบอเกินมนุษย์ไปแล้ว (ที่ล่าสุด รณรงค์ให้ประชาชนยกเลิกดื่มนมวัวแล้วหันมาดื่มนมคนแทน!)

ออกมาประกาศว่า ข้าจะวางยาสลบให้ปลาในทะเลสาบหลับให้หมด งานแข่งขันจับปลาในรัฐเท็กซัสปีนี้จะได้ถูกยกเลิก!
"this year, the fish will be napping, not nibbling."

ทางรัฐเท็กซัสวิตกกังวล อย่างมากจนต้องจัดสายตรวจคุ้มกันชายฝั่งทะเลสาบ แม้องค์กร PETA จะยืนยันว่าเป็นแค่เอพริลฟูลก็ตาม


สุดท้าย รวบรวม Google's hoaxes ณ วันเอพริลฟูล

2000: google ออกระบบใหม่ MentalPlex ที่สามารถอ่านใจผู้ใช้ได้ว่าต้องการ search อะไร ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์

2002: ระบบ PigeonRank ที่ตามหลังระบบ PageRank มา ด้วย PigeonRank ผู้ใช้บริการจะแน่ใจได้ว่า ในกระบวนการ ranking เว็บเพจที่ท่านสนใจจะไม่มีการทรมาณสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้อง (ล้อเลียน PETA หรือเปล่าเนี่ย )

2004: google ตั้งสถานีที่ดวงจันทร์เพื่อศูนย์วิจัย Google Copernicus Center และพัฒนา operating system ใหม่ที่มีชื่อว่า Luna/X ได้ ณ ที่นั่น (Luna/X มาจาก Linux + Windows XP visual style และ Mac OS X)

2005: google ออกเครื่องดื่มชนิดใหม่ Google Gulp ที่ผู้ที่ดื่มไปแล้วจะฉลาดขึ้น เนื่องจากเครื่องดื่มดังกล่าวจะมีผลต่อ DNA และสารสื่อประสาทในสมองของผู้ดื่ม โดยมีทั้งหมด 4 รส ได้แก่ Glutamate Grape (glutamic acid), Sugar-Free Radical (free radicals), Beta Carroty (beta carotene), and Sero-Tonic Water (serotonin)

2006: feature ใหม่ครับ Google Romance ที่เอาไว้ search หาคู่แท้ ก๊าก...อยากใช้บ้างอ่ะ



2007: Gmail Paper ไม่ว่าคุณจะส่งเมล์ยาวแค่ไหน มีรูปมากมายเพียงใด ผู้รับอยู่ที่ใดก็ตาม gmail จะพิมพ์เมล์ของคุณออกมาเป็นเอกสารในรูปกระดาษส่งไปให้ผู้รับ ที่สำคัญคือฟรี

2008: gDay สามารถ search เว็บเพจก่อนที่มันจะถูก สร้าง 24 ชั่วโมง

2009: Google Chrome 3D; web browser ของ google เป็นรูปแบบสามมิติ เพียงแค่ลง google chrome 3D แล้วโหลดวิธีทำแว่นสามมิติมาใช้เอง ก็สามารถท่องเวปแบบสามมิติได้แล้ว

...น่ารอดูว่า google ปีนี้จะเล่นตลกอะไรกับเรา






ทิ้งท้าย

...April's fool เป็นประเพณี การเล่นสนุกตลกขบขันของพวกฝรั่งมังค่า บางครั้งอาจไม่เหมาะกับสภาพสังคมไทย ที่ไม่แบ่งแยกเรื่องเล่น-เรื่องจริงชัดเจนนัก และบางคนก็อาจไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยกับการโกหก

ก็นานาจิตตังครับ อย่างไรก็ตาม การโกหกเล่นๆใดๆก็ควรพิจารณาว่ามีคนเดือดร้อนกับการกระทำของเราหรือเปล่า? เช่นการโกหกเรื่องความเป็นความตาย ก็ฝากไว้พิจารณาครับ

สุขสันต์วันเมษาหน้าโง่ครับ...

Create Date : 01 เมษายน 2553
Last Update : 1 เมษายน 2553 11:19:01 น.

Y Chromosome degeneration: วันที่มนุษย์เพศชายสูญพันธุ์...

คำเตือน ต้องการความรู้ชีววิทยาระดับมัธยมปลายขึ้นไป

Jennifer A. Graves ศาสตราจารย์ด้านพันธุศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงแห่ง Australian National University ผู้มีชื่อเสียงได้ออกมาประกาศอย่างกล้าหาญว่า Chromosome Y จะสูญหายไปจากโลกนี้ในอีก 14 ล้านปีข้างหน้า


มนุษย์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดมีระบบเพศที่ กำหนดโดยโครโมโซมเพศ X/Y (XY sex-determination system) ในระบบดังกล่าว สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม XX จะเป็นเพศหญิง และโครโมโซม XY เป็นเพศชาย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า โครโมโซม Y เป็นตัวกำหนดความเป็นเพศชาย

โครโมโซม X และโครโมโซม Y มีความแตกต่างกันอย่างมาก โครโมโซม X ของมนุษย์มีขนาดใหญ่กว่า (165 Mb) และประกอบด้วยยีนมากกว่า 1000 ยีน ในขณะที่โครโมโซม Y ที่มีขนาดเล็กกว่ามาก (~60 Mb) มียีนเพียง 45 ยีน อย่างไรก็ตามเพียง 45 ยีนของโครโมโซม Y ก็ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างเพศชายและหญิง ทั้งนี้เนื่องจาก Sex-determining Region Y (SRY) บนโครโมโซม Y (สำหรับในมนุษย์คือ testis determining factor (TDF)) เป็นปัจจัยกำหนดให้สิ่งมีชีวิตแสดงลักษณะทางเพศชายแทนที่จะเป็นเพศหญิง





เมื่อ ราว 300 ล้านปีก่อน เชื่อว่าระบบโครโมโซมเพศ XY ได้อุบัติขึ้นจากโครโมโซมร่างกาย (autosomal chromosome) คู่หนึ่ง ในสิ่งมีชีวิตที่มีการกำหนดเพศโดยปัจจัยอื่นเช่น อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม (temperature-dependent sex determination) จากนั้นมี “การสะสม” ยีน SRY บนโครโมโซมเส้นหนึ่งแล้วมีการขาดออกเป็นเส้นสั้นที่มียีน SRY ติดอยู่ด้วยจึงกลายเป็นโครโมโซม Y ส่วนโครโมโซมอีกเส้นหนึ่งที่เป็นคู่กันก็เป็นโครโมโซม X

การสะสมยีน ที่ “เป็นประโยชน์” เฉพาะเพศชายในโครโมโซม Y เกิดจากโครโมโซมทั้งสองเส้นมีการวิวัฒนาการร่วมกันจนกระทั่งไม่อาจเกิด genetic recombination ได้ในบางบริเวณ การยับยั้งการเกิด genetic recombination ดังกล่าวเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้โครโมโซม Y ยังคงสามารถเก็บรักษายีนที่เป็นประโยชน์ต่อเพศชายไว้ได้ (male specific region) แต่ข้อเสียก็คือทำให้โครโมโซม Y มีการสูญสลายอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะพูดถึงต่อไป)

การศึกษาของศาสตราจารย์ Graves เมื่อไม่นานมานี้ทำให้ได้ขอสมมติฐานใหม่ว่าโครโมโซม X และ Y ของมนุษย์และสัตว์มีรก (placental mammals) เพิ่งอุบัติขึ้นเมื่อราว 100-160 ล้านปีก่อน จากโครโมโซม XY รุ่นเก่าซึ่งพบในสัตว์มีถุงหน้าท้อง (marsupials) และโมโนทรีม (monotremes เช่น ตุ่นปากเป็ด) ถูก “เติม” ชิ้นส่วนยีนจนมาเป็นโครโมโซม XY รุ่นใหม่ในปัจจุบัน





นัก พันธุศาสตร์พบว่าโครโมโซม Y มีการเสื่อมสลายอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มันอุบัติขึ้นมา สำหรับมนุษย์ จากราว 1000 ยีนเหลือเพียง 45 ยีนในปัจจุบัน! เช่นเดียวกัน อัตราการเสื่อมสลายของโครโมโซม Y ดำเนินต่อไปเรื่อยๆในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ศาสตราจารย์ Graves ได้คำนวณไว้ว่า หากอัตราการเสื่อมสลายไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันโครโมโซม Y ของมนุษย์จะสูญสิ้นในอีก 14 ล้านปีข้างหน้า





ก่อน ที่จะพูดถึงการเสื่อมสลายของโครโมโซม Y ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์เพศชายสูญพันธุ์ จขบ.ขอรีวิวเกี่ยวกับ genetic recombination เล็กน้อย genetic recombination หมายถึงการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนยีนระหว่างโครโมโซมที่เป็นคู่กัน ซึ่งมักเกิดในช่วงที่มีการแบ่งเพศแบบ meiosis (meiosis I) เนื่องจากในช่วงดังกล่าว โครโมโซมแต่ละเส้นที่เป็นคู่กันจะมีการจัดเรียงตัวเข้าคู่กัน ทำให้โครโมโซมมีโอกาสไขว้กัน (crossing over) และแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนยีนระหว่างกันได้ genetic recombination ทำให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตและช่วยซ่อมแซมยีนที่เสีย หายอีกด้วย





สาเหตุ ประการหลักที่ทำให้โครโมโซม Y เสื่อมสลายนั้นเกิดจาก nonrecombining region นั่นเอง จากการศึกษาในแมลงหวี่ (Drosophila Miranda) พบว่า อัตราการสูญสลายของโครโมโซม Y เกิดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่สามารถเกิด genetic recombination กับโครโมโซม X ได้ ทำให้ไม่สามารถกำจัดยีนที่เสียหายจากการถูกทำลาย ยีนกลายพันธุ์ แตกต่างจากโครโมโซม X ที่อยู่เป็นคู่กันในเพศหญิง (XX) เมื่อชิ้นส่วนยีนในโครโมโซมเกิดความเสียหายหรือกลายพันธุ์ การ recombination โดยคู่ของมันเองเป็นกลไกหนึ่งในการ “เฉลี่ย” ความเสียหาย ทดแทนยีนที่ทำงานไม่ได้ระหว่างคู่ของมันเอง

โครโมโซม Y ยังถูกเร่งการเสื่อมสลายได้อีกจากปัจจัยสามประการหลัก High mutation rate, Insufficient selection, Genetic drift (รายละเอียดซับซ้อน โปรดอ่านใน reference)

เป็นที่เข้าใจกันอย่างแน่ชัดว่า โครโมโซม Y ของมนุษย์ ต้องมีอันสูญสลายอย่างแน่นอนในอนาคตกาลข้างหน้า แต่สำหรับอัตราการเสื่อมสลายกลับเป็นข้อถกเถียงกันอย่างมาก จากจำนวนยีนเริ่มต้นประมาณ 1000 ยีนเมื่อประมาณ 300 ล้านปีก่อนเหลือเพียง 45 ยีนในปัจจุบัน ทำให้ประมาณอัตราการเสื่อมสลายเฉลี่ยไว้ที่ 3.3 ยีนต่อหนึ่งล้านปี

หากอัตราดังกล่าวมีค่าคงที่ ศาสตราจารย์ Graves ประมาณไว้ว่า โครโมโซม Y จะสูญสลายในอีก 14 ล้านปีข้างหน้า (ผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยอ่าน และทราบตัวเลขที่ไม่ตรงกันคือ อัตราการเสื่อมสลายเฉลี่ย 4.6 ยีนต่อหนึ่งล้านปี ซึ่งโครโมโซม Y จะสูญสลายในอีก 10 ล้านปีข้างหน้า หากคิดตามอัตราดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้กล่าวว่า จำนวนยีนบนโครโมโซม X มีเพียงประมาณ 1000 ยีน จากที่เคยเข้าใจว่ามีประมาณ 1400-1600 ยีน ทำให้ตัวเลขในการคำนวณเปลี่ยนแปลงไป)

ข้อขัดแย้งจากวิจัยคนอื่น อย่างเช่น Gerrard และ Filatov กล่าวว่า อัตราการเสื่อมสลายของโครโมโซม Y ควรเป็นรูป exponential มากกว่าเส้นตรง หรือกระทั่งโค้งรูปตัว S (sinusoidal function) ซึ่งก็จะได้เวลาสิ้นสุดของโครโมโซม Y ที่ไม่เท่ากัน อาจเป็นได้ทั้ง 125,000, 14 หรือ 140 ล้านปีข้างหน้า (อย่างไรก็ตาม ข้อสมมติฐานของศาสตราจารย์ Graves เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือมากกว่า) นอกจากนี้ หากนับว่าในช่วงประวัติศาสตร์วิวัฒนาการ มีการ “เติม” ชิ้นส่วนยีนเข้าไปในโครโมโซมเข้าไปด้วย ก็ควรจะได้กราฟรูปขั้นบันได ดังรูปด้านล่าง





จาก หลักการทางพันธุศาสตร์อันน่าปวดหัวทั้งหมด จขบ.ก็ขอสรุปสั้นๆว่า โครโมโซม Y ของมนุษย์กำลังเสื่อมสลายไปอย่างต่อเนื่องและอาจหายไปในที่สุดในอีก 14 ล้านปีข้างหน้า ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญครับ อะไรจะเกิดขึ้นกับมนุษย์เพศชายทั้งหมด พวกเราจะสูญพันธ์ (โอ้วววว) กลายป็นของหายากในอนาคตข้างหน้าหรือไม่?

ทุกสิ่งมีชีวิตมีการดิ้นรน เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตนเอง สัตว์โลกหลายชนิดมีการย้ายยีนกำหนดเพศไปอยู่บนโครโมโซมร่างกายอื่น เช่นแมลงหวี่ (D. melanogaster) ตัวผู้จะมีโครโมโซมเป็น XY หรือเป็น XO ก็ได้ ยีนกำหนดเพศได้ย้ายไปอยู่ที่โครโมโซมคู่อื่นๆ โครโมโซม Y จึงไม่มีความสำคัญต่อแมลงหวี่

เช่นเดียวกันกับ mole vole (Ellobius) และ Japanese spinous country rat (Tokudaia) ที่ทั้งสองเพศมีโครโมโซมเป็น XO ปัจจัยกำหนดเพศผู้ถูกย้ายไปอยู่ที่โครโมโซมคู่อื่นๆ

สัตว์ฟันแทะ บาง ชนิดเช่น wood lemming และ Akodont ก็มีการเปลี่ยนแปลงโครโมโซม ยับยั้งการทำงานของ testis determining factor ทำให้โครโมโซม Y “หมดความสำคัญลง” และไม่จำเป็นอีกต่อไป

จากการศึกษาในสัตว์หลายชนิด ชี้ให้เห็นว่าแม้ไม่มีโครโมโซม Y เพศชายก็ไม่สูญ อีกทั้งเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาตั้งมากมายขนาดนี้ แล้วเราจะน้อยหน้าสัตว์พวกนี้ได้อย่างไร

อย่า ปล่อยให้ผมสูญพันธ์น้า…








References


Graves JA. Sex chromosome specialization and degeneration in mammals. Cell. 2006 Mar 10;124(5):901-14.

Jobling MA, Tyler-Smith C. The human Y chromosome: an evolutionary marker comes of age. Nat Rev Genet. 2003 Aug;4(8):598-612.

Carvalho A.B. The advantages of recombination. Nat Rev Genet. 2003 Jun;1(34):128–129.

Leading Geneticists Debate the Fate of the Mammalian Y Chromosome at the 15th International Chromosome Conference

สุภา พร สุกสีเหลือง. ฤๅชายจะสิ้นสูญ. จุลสารวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 เดือนมีนาคม 2550

Create Date : 30 มีนาคม 2553
Last Update : 30 มีนาคม 2553 12:24:23 น.

เวลาไม่ใช่วารี

ต้อง การพื้นฐานความรู้ฟิสิกส์ระดับมัธยมปลาย (ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ เทอร์โมไดนามิกส์ กลศาสตร์ควอนตัม) และโปรดวางสามัญสำนึกไว้ข้างคอมพิวเตอร์ก่อนเริ่มอ่าน

ตาม สามัญสำนึกของเรา เป็นการง่ายที่จะเปรียบเทียบเวลาเหมือนดั่งวารี เพราะความทรงจำและความรู้สึกของเราบอกว่าเวลาไหลเลื่อนไป อดีตมีความแน่นอนจีรังไม่เปลี่ยนแปลง อนาคตยังไม่ถูกกำหนดแน่ชัด และความเป็นจริงอยู่ในปัจจุบันอันคงที่และเป็นสากล หากแต่เราเชื่อใจในสามัญสำนึกของเราได้มากน้อยเพียงใด เป็นไปได้ไหมว่าการไหลผ่านของเวลานั้นเป็นเพียงภาพลวงตา จิตสำนึกอาจประกอบด้วยการกระบวนการทางเทอร์โมไดนามิกส์และควอนตัม ซึ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าดำรงอยู่จากขณะหนึ่งไปยังขณะหนึ่ง






ภาพประกอบ: La Persistencia de la Memoria. 1931, Salvador Dali.



นักบุญออกุสตินแห่งฮิปโป (354-430) กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าทราบว่าเวลาคืออะไรเมื่อยังไม่มีใครถามถึง แต่เมื่อข้าพเจ้าจะอธิบายให้ใครสักคนที่ถามถึง ข้าพเจ้ากลับไม่ทราบ ไม่ ใช่เพียงนักบุญออกุสตินที่ประสบปัญหากับคำนิยามของเวลา เราทุกคนก็เช่นกัน เรารับรู้เวลาทางจิตวิทยา การผ่านไปของเวลาเป็นกระบวนการรับรู้พื้นฐานของจิตใจของเรา จากอดีตมายังปัจจุบันและไปต่อยังอนาคตอย่างไม่มีหยุดยั้ง แม้ว่าภาพพจน์ดังกล่าวจะดูเด่นชัด แต่มันกลับมีความขัดแย้งภายในตนเองอย่างลึกซึ้ง ไม่มีการไหลผ่านของเวลาในเชิงฟิสิกส์ และนักปรัชญาส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องว่าการไหลผ่านของเวลานั้นไม่มีความหมาย การเปรียบเวลาเป็นดั่งวารีนั้นอยู่พื้นฐานของความเข้าใจผิด การหลอกลวงโดยจิตสำนึกของเราเอง





เมื่อ เราพูดถึงเหตุการณ์ใดๆ เรามีวิธีอ้างอิงเวลาที่แตกต่างกัน บางครั้งเรากล่าวเจาะจงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต เช่น สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นในอดีต นาซ่าส่งมนุษย์อวกาศไปดาวอังคารในอนาคต หรือบางครั้งเราอ้างอิงเหตุการณ์หนึ่งเทียบกับอีกเหตุการณ์หนึ่งว่ามาก่อน หรือหลัง เช่น สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง นาซ่าส่งมนุษย์อวกาศไปดาวอังคารหลังจากส่งไปดวงจันทร์ หากลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน การอ้างอิงแบบที่หนึ่งเป็นบอกเวลาที่เป็นจุดตายตัวบนสายกาลเวลา ส่วนการอ้างอิงแบบที่สองบอกเวลาสัมพันธ์กับอีกเวลาหนึ่ง

ถึงตอนนี้ เราจะเข้าสู่ทฤษฎีเวลาสองทฤษฎีที่ทำให้นักปรัชญาถกเถียงกันมาอย่างยาวนานนับศตวรรษ ทฤษฎีเวลาแบบเทียบลำดับ (Tenseless time) และทฤษฎีเวลาแบบไร้ลำดับ (Tensed time)

ทฤษฎี เวลาแบบเทียบลำดับถือ ว่าเวลาเป็นเช่นเดียวกับตำแหน่ง คือการอ้างอิงแบบที่หนึ่ง ซึ่งเป็นกล่าวถึงเวลาที่ไม่สัมพันธ์กับเวลาอื่น ลักษณะเดียวกับการบอกว่า นมอยู่ในตู้เย็นหรือไม่อยู่ในตู้เย็น ดัง นั้นนมจะไม่สามารถที่อยู่ในตู้เย็นเมื่อเทียบกับสิ่งหนึ่ง และไม่อยู่ในตู้เย็นเมื่อเทียบกับอีกสิ่งหนึ่ง-เหตุการณ์หนึ่งๆจะเป็นอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เป็นอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตโดยเปรียบเทียบกับอีกเหตุการณ์หนึ่ง

ทฤษฎี เวลาแบบไร้ลำดับถือ ว่าเวลาไหลผ่านและแปรผัน คือการอ้างอิงแบบที่สอง อันเป็นการกล่าวถึงเวลาสัมพันธ์กับเวลาอื่น เช่นเดียวกับการบอกว่า มานีนั่งทางขวาของชูใจ และนั่งทางซ้ายของปิติ เหตุการณ์หนึ่งๆเป็นได้ทั้งอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต ขึ้นกับว่าเราเทียบมันกับเหตุการณ์อื่นใดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าหรือหลังจากมัน ความแตกต่างของสองทฤษฎีนี้ถูกเสนอแนะโดยอริสโตเติล นักบุญออกุสตินและนักปรัชญาอื่นๆอีกจำนวนมาก แต่ข้อยุติของการถกเถียง ณ ปัจจุบันเกิดจากการโต้แย้งระหว่างนักปรัชญา เมื่อช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 นี้เอง

ทฤษฎีเวลาแบบไร้ลำดับเป็นทฤษฎีที่สอดคล้องกับคำ เปรียบเปรยที่ว่า เวลาเหมือนดั่งวารี และเป็นทฤษฎีที่สอดคล้องกับสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ ทฤษฎีนี้กล่าวว่า อนาคตเป็นสิ่งไม่จริงแท้และยังมาไม่ถึง เหตุการณ์ที่แน่นอนหลังจากคุณอ่านข้อความนี้จบไม่มีอยู่ (อีกนัยหนึ่ง หลังจากอ่านข้อความนี้จบ คุณอาจจะอ่านต่อไปด้วยใคร่รู้ คุณอาจจะปิดหน้าจอนี้เพราะเริ่มปวดหัว คุณอาจจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกริ่งหน้าบ้าน ไม่มีใครรู้และไม่มีใครกำหนด) อนาคตคือความเป็นไปได้อันไม่รู้จบ และเมื่อเวลาผ่านไปข้างหน้าเอกภพจะเลือกเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจาก เหตุการณ์อันมากมายมหาศาล ส่วนอดีตนั้นเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว มีความแน่นอนคงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีก นอกจากเวลาจะเปรียบดั่งวารีแล้ว แบบแผนของเวลาก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขาอันไม่รู้จบ

เพื่อ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน เราจะลองยกตัวอย่างอนาคตอันผันแปรของอดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ (1889-1945) ผู้นำนาซีผู้มีบทบาทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์โลก เราทราบกันดีว่าจุดพลิกผันสำคัญของชีวิตฮิตเล่อร์เกิดขึ้นในวัยเด็ก เขาชอบวิชาศิลปะและอยากเป็นจิตรกรแต่บิดาของเขาไม่สนับสนุน อะไรจะเกิดขึ้นหากฮิตเล่อร์เลือกทางเดินชีวิตเป็นจิตรกรแทนที่จะเป็นผู้นำ ทหาร ขณะที่เขายังเป็นเด็กนั้น อนาคตช่างไม่แน่นอนและเป็นไปได้หลายเส้นทาง แต่เมื่อเขาเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งแล้ว สิ่งที่ผ่านมาก็เป็นอดีตที่แน่นอนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้





ทฤษฎี เวลาแบบเทียบลำดับนั้นสอดคล้องกับสามัญสำนึก น้อยกว่า แต่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาส่วนใหญ่มากกว่า หลักการของทฤษฎีนี้คือ ไม่มีการไหลผ่านของเวลา ไม่มีการแปรผันกลับกลาย ไม่มีการแตกกิ่งก้านสาขาของเหตุการณ์ เวลาดำรงอยู่ของมันอย่างนั้น การ แสดงเวลาเหมือนกับการแสดงตำแหน่ง เหมือนกับการระบุตำแหน่งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งหมดนี้ล้วนมีอยู่จริงแต่ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกัน เหตุการณ์การเกิดของคุณ การที่คุณอ่านประโยคนี้ และการตายของคุณ ต่างมีอยู่จริงแท้ทั้งสิ้นและไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เพื่อขยายภาพของ ทฤษฎีนี้ มิติที่สี่จึงเข้ามาเกี่ยวข้อง (ซึ่งถูกพูดถึงครั้งแรกหลังจากศตวรรษที่ 19) เรารู้จักมิติทั้งสามที่เป็นสถานที่และมิติที่สี่ซึ่งคือเวลา ดังนั้นทฤษฎีเวลาแบบเทียบลำดับจึงไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อน หากเราระบุถึงเหตุการณ์สักอย่างหนึ่งนอกจากระบุตำแหน่งในพิกัดสามมิติแล้ว ก็ระบุเวลาที่แน่นอนชัดเจนเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งมิติ





การโต้แย้งของแมคแทกการ์ต

จอห์น แมคแทกการ์ต (1866-1925) ได้เสนอข้อโต้แย้งอันเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักปรัชญาในบทความ “ความไม่จริงแท้ของเวลา” (The Unreality of Time, 1908) ในข้อโต้แย้งดังกล่าว แมคแทกการ์ตได้กล่าวถึงเวลาทั้งในรูปแบบที่สอดคล้องกับทฤษฎีเวลาแบบไร้ลำดับ และแบบเทียบลำดับ เขาคิดว่า ทฤษฎีเวลาแบบไร้ลำดับนั้นสอดคล้องกับความคุ้นเคยของเรามากที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาชี้ให้เห็นว่ามีความไม่สอดคล้องกันเองในทฤษฎีดังกล่าว ดังนั้นทฤษฎีเวลาแบบไร้ลำดับจะต้องผิด แต่ในเมื่อมันเป็นทฤษฎีที่ดีที่สุด (ในความคิดของแมคแทกการ์ต) ที่มีอยู่ เขาจึงสรุปว่า เวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง!

ข้อ สรุปของแมคแทกการ์ตนั้นออกจะสุดขั้วเกินไป ภายหลังเมื่อมีความรู้เกี่ยวกับเอกภพของเรามากขึ้น นักฟิสิกส์ส่วนใหญ่จะสรุปว่า การไหลของเวลานั้นไม่มีอยู่จริง แต่เวลานั้นมีอยู่จริง ดังเช่นการมีอยู่ของอวกาศ





ข้อคัดค้านต่อทฤษฎีเวลาแบบไร้ลำดับที่มีชื่อเสียงมากอีกประการหนึ่งคือ บทความของดี ซี วิลเลียม (1899-1983) ที่ชื่อ “เรื่องลึกลับของเวลาที่ล่วงไป” (The Myth of Passage, 1951) จากคำถามที่ว่า เวลาไหลผ่านไปเร็วเท่าใด?

หาก เวลามีการไหลผ่าน มันจะต้องมีการเคลื่อนไหวเทียบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นคืออะไร? เวลาไหลด้วยอัตราเร็วเท่าไร? นักทฤษฎีเวลาแบบไร้ลำดับอาจตอบว่า “หนึ่งวินาทีต่อหนึ่งวินาที” แต่มันเป็นคำกล่าวที่มีเหตุผลหรือไม่? และเวลามีทิศทางหรือไม่? เพราะในกรณีของอวกาศนั้นไม่มีทิศทางหนึ่งพิเศษไปกว่าทิศทางอื่น หากเวลามีทิศทางแล้วมันไหลไปในทิศทางใด? (อันที่จริงเวลาจะไหลหรือไม่ก็ตาม เราอาจกำหนดทิศทางของเวลาด้วยลูกศรเทอร์โมไดนามิกส์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและไม่ขอกล่าวถึงอย่างละเอียดในที่นี้)





จะเห็นได้ว่า ทฤษฎีเวลาแบบไร้ลำดับนั้นถูกโจมตีเยอะเหลือเกิน แต่มันไม่ได้จบลงแค่นั้น

ใน ต้นศตวรรษที่ 20 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่เกี่ยวกับเวลาด้วย ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งปฏิเสธการมีอยู่ของเวลาปัจจุบันอันเป็นสิ่งสมบูรณ์สากล ไอน์สไตน์กล่าวว่า การพร้อมกันนั้นเป็นสิ่งสัมพัทธ์ไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์ เหตุการณ์สองเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้น ณ เวลาเดียวกัน หากสังเกตจากกรอบอ้างอิงหนึ่งอาจจะเกิด ณ เวลาต่างกันเมื่อมองจากกรอบอ้างอิงอีกอัน ไม่มีเวลาที่เป็นหนึ่งเดียวในเอกภพแบบสัมพัทธภาพ มีเวลาที่แตกต่างกันมากมาย หนึ่งเวลาสำหรับหนึ่งกรอบอ้างอิง โดยต่างเป็นเวลาที่ถูกต้องเท่าเทียมกันทั้งสิ้น (ดูคลิปประกอบ)





แน่ นอนว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษนั้นขัดแย้งกับสามัญ สำนึกของคนส่วนใหญ่อย่างรุนแรง (เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะ เราไม่อาจสัมผัสมันได้ในชีวิตประจำวัน เราไม่มีโอกาสเคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง อีกนัยนะหนึ่ง กายภาพของเราไม่เอื้อให้เกิดโอกาสเช่นนั้นอีกด้วย) อย่างไรก็ตาม มันได้ขยายภาพทฤษฎีเวลาแบบเทียบลำดับให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เอกภพแบบท่อนเวลา (block time) เป็นภาพอธิบายที่ชัดเจน ทุกชั่วขณะต่างดำรงอยู่และจริงแท้โดยตัวของมัน อดีต ปัจจุบัน อนาคตต่างมีอยู่จริงและถูกแสดงได้ด้วยท่อนเวลาตราบนิรันดร์เหมือนแช่แข็งไว้ อย่างนั้น ความพร้อมกันของเหตุการณ์เปรียบเสมือนการตัดขวางท่อนเวลาเพื่อพิจารณาจุด เวลาหนึ่ง หากในแต่ละกรอบอ้างอิงจะมีการตัดท่อนเวลาในมุมที่แตกต่างกัน ความพร้อมกันของเหตุการณ์จึงแตกต่างกันแต่ละกรอบอ้างอิง





ตอน นี้เรา เข้าใจเกี่ยวกับเวลามากขึ้นแล้ว เรารู้ว่าเวลาไม่ไหลผ่านเหมือนวารี ทฤษฎีที่ถูกต้องและเป็นไปได้มากกว่าคือทฤษฎีเวลาแบบเทียบลำดับ รูปแบบของเวลาแทนได้ด้วยท่อนเวลา เมื่ออดีต-ปัจจุบัน-อนาคตต่างจริงแท้เท่าเทียมกัน ไม่มีสิ่งไหนพิเศษเหนือกว่ากัน และแต่ละเหตุการณ์เกิดขึ้นในจุดหนึ่งของเวลาที่ตายตัว หากแต่ละความพร้อมของเหตุการณ์เป็นสิ่งสัมพัทธ์ที่ขึ้นอยู่กับแต่ละกรอบอ้าง อิง…

ในการวิเคราะห์เชิงปรัชญาและฟิสิกส์กายภาพต่างชี้ให้ เห็นว่า เวลาไม่มีการเลื่อนไหล มาถึงปริศนาสุดท้าย แล้วทำไมจิตใจของเราจึงรู้สึกว่าเวลานั้นมีการเลื่อนไหล หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น จริงๆแล้วเราไม่เคยรับรู้การผ่านไปของเวลา เรารับรู้ถึงความไม่สมมาตรของเวลา อนาคตนั้นมีความแตกต่างจากปัจจุบันและอดีต การไหลผ่านของเวลาอาจเป็นเพียงมายาเช่นเดียวกับเวลาที่เราหมุนตัวหลายรอบ แล้วหยุดกลางคัน เรารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายนั้นหมุนรอบตัวเราทั้งที่ไม่มีสิ่งใด เคลื่อนไหวเลย

ความไม่สมมาตรของเวลาทำให้เรารับรู้มายาการเลื่อนไหลของเวลา มีอยู่สองประการหลักคือ หนึ่ง ความแตกต่างทางเทอร์โมไดนามิกส์ระหว่างอดีตและอนาคต (ลูกศรของเอนโทรปี) การสร้างความทรงจำในสมองเป็นไปในทิศทางเดียวกับลูกศรของเอนโทรปี (การเพิ่มข้อมูล การเพิ่มความไม่ระเบียบในสมอง) ทำให้เรารับรู้ทิศทางของเวลาและหลงเข้าใจว่าเวลากำลังเลื่อนไหล





สอง กลศาสตร์ควอนตัมตามหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก บอกว่า ธรรมชาติโดยเนื้อแท้นั้นไม่สามารถกำหนดได้แน่นอน ทำให้อนาคต (หรือแม้แต่อดีต) เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนซึ่งแสดงออกอย่างเด่นชัดในระดับซับอะตอมมิก ตัวอย่างเช่น อะตอมหนึ่งในก้อนกัมมันตรังสีจะสลายตัวหรือไม่ กลศาสตร์ควอนตัมให้ค่าความน่าจะเป็นของการสลายตัวแต่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำนาย ผลล่วงหน้า แต่เมื่อผู้สังเกตตรวจวัดผลที่ได้จะมีเพียงหนึ่งเดียว ความเป็นไปได้อันหลากหลายจะสลายไปเหลือเพียงความจริงหนึ่งเดียว ภายในจิตใจของผู้สังเกต ความเป็นไปได้กลายเป็นสิ่งจริงแท้ จากอนาคตที่ไม่แน่นอนเปลี่ยนรูปไปเป็นอดีตที่ถูกกำหนด อันเป็นภาพลักษณ์ของการไหลเลื่อนของเวลา นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า จิตสำนึกรับรู้การไหลเลื่อนของเวลาจากกระบวนการทางควอนตัมในสมอง





ทั้ง หมดนี้ยังเป็นเพียงสมมติฐาน ปริศนาของจิตใจมนุษย์นั้นลึกลับที่สุดสำหรับคำตอบเกี่ยวกับเวลา ในอนาคตเราอาจจะค้นพบบริเวณรับรู้เวลาภายในสมองเช่นเดียวกับ บริเวณที่รับรู้ภาพ (visual cortex) รับรู้สัมผัส (somatosensory cortex) หากมันเกิดขึ้นจริงก็น่าลองจินตนาการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราทำการ กระตุ้นหรือยับยั้งสมองบริเวณดังกล่าว อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อจิตใจเราไม่รับรู้ถึงการเลื่อนไหลของเวลา ถึงตอนนั้น ทัศนคติต่อเวลาของมนุษย์จะเป็นอย่างไร เราจะยังเชื่อมั่นในปัจจุบัน โหยหาอดีตอันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ และไม่มั่นใจในอนาคตที่ยังไม่ถูกกำหนดหรือไม่…








เรียบเรียงจาก

Paul Devies, ผู้แปล ดร.ปิยบุตร บุรีคำ, ไหลเลื่อนอย่างลึกลับ, Scientific American special edition: A Matter of Time. 2551. สำนักพิมพ์มติชน.

Craig Callender, ผู้แปล สุจินต์ วังสุยะ, ปริศนากาลเวลา. 2552. สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก.

Brian Greene, ผู้แปล ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ, ทอถักจักรวาล (The Fabric of The Cosmos). 2551. สำนักพิมพ์มติชน.


เพิ่มลิงค์เนื้อหาปวดหัว(มาก) สำหรับคนที่ภาษาอังกฤษ excellent และชอบเสพย์ปรัชญา
คลิก


http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cryptomnesia&group=10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น