วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อุปทานหมู่

อุปทานหมู่ (collective hysteria, collective obsessional behavior, mass hysteria หรือ mass psychogenic illness) เป็นปรากฏการณ์ทางจิตสังคมอย่างหนึ่ง มีลักษณะเป็นการแสดงออกอย่างเดียวกับโรคฮิสเตอเรีย หรือโรคผีเข้า (อังกฤษ: hysteria) แต่อุปาทานหมู่นั้นเป็นอาการสมดังชื่อ คือ เกิดขึ้นในคนหมู่ โดยมักมีสาเหตุจากการที่คนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าตนกำลังประสบภาวะเจ็บป่วยหรือ อาการอื่นอย่างเดียวกัน

ปรากฏการณ์อุปาทานหมู่นั้นเกิดขึ้นเมื่อ บุคคลหนึ่งเกิดป่วยหรือมีอาการของโรคฮิสเตอเรียอันเป็นผลมาจากภาวะเครียด และเมื่อผู้ป่วยคนนั้นเริ่มแสดงอาการ คนอื่น ๆ รอบข้างก็เริ่มแสดงอาการด้วยเพราะเชื่อว่าตัวเองก็ประสบภาวะอย่างเดียวกัน อาการที่แสดงเช่นว่ามักได้แก่ อาการคลื่นไส้ (nausea), อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง (muscle weakness) การชัก (fit) หรืออาการปวดศีรษะ (headache)

อุปาทานหมู่มีลักษณะเด่นตรงที่ไม่อาจหาสาเหตุแน่ชัดได้ อาการที่เกิดก็มักมีความคลุมเครือ แต่มักเชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากอำนาจเหนือธรรมชาติหรือเป็นทางทางศาสนา โดยว่ากันทางประชากรศาสตร์ อุปาทานหมู่เกิดมากในเพศเมีย และในหมู่ผู้ที่รับบริการทางการแพทย์บ่อย ๆ คือพวกที่รับประทานยาหรือใช้ยามาก ๆ เป็นต้น

อาการตื่นตระหนกทางใจ (moral panic) มีอาการแสดงคล้ายกับอุปาทานหมู่มาก

อย่าง ไรก็ตาม เจอโรม คลาร์ก (Jerome Clark) นักวิจัยเรื่องเหลือเชื่อและจานผี ชาวอเมริกัน กล่าวว่า อุปาทานหมู่เป็นคำอธิบายอันไร้มูลฐานเมื่อเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญไม่ อาจหาคำอธิบายได้สำหรับกรณ์อันยุ่งเหยิงหรือน่าตระหนกใจ(1)

ต่อจากนี้ไปจะเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์อุปทานหมู่(2), (3)ที่มีชื่อเสียงครับ


สาวปากฉีก

สาว ปากฉีกเป็นตำนานเมือง (urban legend) ของญี่ปุ่นที่มีการแพร่ระบาดเป็นระยะๆ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า สาวปากฉีก หรือ คุชิซาเกะอนนะ เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก

สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็น วิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยไหม? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยแล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ล่ะ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี

สาว ปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ(1) เมื่อตำนานดังกล่าวเผยแพร่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กทุกคนรวมถึงผู้ใหญ่ ประชาชนทุกคนในประเทศญี่ปุ่นต่างเตรียมมาตรการป้องกันกันอย่างจริงจัง ถึงขนาดรัฐบาลออกโฆษณามาเลยนะ เด็กทุกคนจะต้องพกลูกกวาดติดกระเป๋า (พ่อแม่บางคนถึงกับต้องเช็คกระเป๋าลูกทุกครั้งก่อนออกจากบ้านว่ามีลูกกวาด อยู่หรือไม่) หากเดินในที่เปลี่ยวๆก็ต้องท่องคาถา บทสวดมนต์ไปตลอดทาง มีคนอ้างว่าเจอสาวปากฉีกไม่น้อยรายและมาออกรายการสยองขวัญตามทีวีจนเป็นที่ โด่งดัง อุปทานหมู่ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1979 จากนั้นค่อยๆซาลง และกลับมาระบาดอีกครั้งในปี 2004 และ 2007 ตามลำดับ




รูปประกอบจากภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง Carved ปริศนาสาวปากฉีก



อุกกาบาตในเปรู

ปี 2007 ประชาชนในท้องถิ่นของเปรูเผยว่ามีลูกไฟหล่นลงมาจากท้องฟ้าและพุ่งชนพื้นที่ ราบของเมืองคารานคัส (Carancus) ในรัฐแอนดร์ (Andre) บริเวณชายแดนใกล้กับประเทศโบลิเวีย ซึ่งทำให้เกิดหลุมกว้างประมาณ 30 เมตร และลึกประมาณ 6 เมตร และหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีผู้คนเจ็บป่วยนับร้อย นักธรณีวิทยาได้ยืนยันจากการวิเคราะห์องค์ประกอบของลูกไฟดังกล่าวพบว่าเป็น "หินอุกกาบาต" อย่างแน่นอน และความร้อนจากอุกาบาตอาจต้มน้ำในหลุมอุกาบาตดังกล่าวได้นาน 10 นาทีจนเกิดไอที่ทำให้ผู้คนในละแวกใกล้เคียงเจ็บป่วย

ประชาชนราว 200 คน เจ็บป่วยจากอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน และมีปัญหาในการหายใจ ซึ่งคาดว่ามีสาเหตุจากการได้รับไอสารพิษที่ปนเปื้อนในหลุมอุกกาบาต

ขณะ ที่ผู้เชี่ยวชาญไม่เชื่อว่าอุกกาบาตเป็นสาเหตุในอาการเจ็บป่วยของร่างกาย แต่คิดว่าปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากการกระทบพื้นดินของอุกกาบาตอาจปลดปล่อย สารพิษอย่าง "ซัลเฟอร์" และ "อาร์เซนิก" (สารหนู) ทั้งนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับหลุมอุกกาบาตกล่าวว่าพวกเขาได้กลิ่นของ ซัลเฟอร์อย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอุกกาบาตกระแทกพื้น ซึ่งกระตุ้นให้รู้สึกปวดท้องและปวดศรีษะ แต่นักธรณีจากยังรู้สึกกังขากับรายงานเกี่ยวกับกลิ่นของซัลเฟอร์

อย่าง ไรก็ตาม ทีมแพทย์ที่เข้าตรวจสอบพื้นที่อุกาบาตเผยว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอุกกาบาต ได้ทำให้ผู้คนล้มเจ็บ และคาดว่าอุกกาบาตอาจกระตุ้นโรคทางจิตวิทยาให้กับคนในพื้นที่ โดยขณะที่อุกกาบาตตกได้ทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเลวร้ายเมื่อสัมผัสชั้น บรรยากาศและเสียงนั้นก็ได้เขย่าขวัญผู้คน




ภาพประกอบ ณ สถานที่เกิดเหตุ



น้ำทะเลรสหวาน

ปี 2006 ประชาชนเมืองมุมไบ ประเทศอินเดียต่างพบว่าน้ำทะเลจากหาดมาฮิมจู่ๆก็เกิดมีรสหวาน หาดมาฮิมเป็นหนึ่งในหาดที่มีมลพิษทางน้ำมากที่สุดจากของเสียที่โรงงานต่างๆ ปล่อยลงสู่ท้องทะเล ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป ประชาชนเมืองกูจารัตที่อยู่ใกล้ๆกันก็รายงานว่าน้ำทะเลจากชายหาดในตัว เมืองกลับมีรสหวานเช่นกัน หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องต่างพากันวิตกกังวลกับปรากฏการณ์ดังกล่าว และคาดว่าอาจจะมีโรคระบาดทางน้ำเกิดขึ้น จึงนำตัวอย่างน้ำทะเลไปตรวจวิเคราะห์และเตือนไม่ให้ประชาชนดื่มน้ำจากทะเลจน กว่าจะได้ผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากต่างพากันเก็บน้ำทะเล “รสหวาน” ใส่ภาชนะด้วยเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ที่ควรบูชานับถือ พอหนึ่งวันผ่านไป น้ำทะเลก็กลับมามีรสเค็มเหมือนเดิมครับ




ต้นน้ำชายหาดมุมไบ สกปรกแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยาย



โรคหัวเราะไม่หยุด

เหตุ เกิดขึ้นเมื่อปี 1962 ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในประเทศแทนแกนนิยา (แทนซาเนีย ในปัจจุบัน) ทวีปแอฟริกา นักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งในโรงเรียนแห่งหนึ่งพูดคุยและเล่าเรื่องตลกกัน (เรื่องตลกที่ว่า มีเนื้อหาใจความอย่างไรก็ไม่ได้มีบันทึกไว้) ทำให้เพื่อนๆต่างพากันหัวเราะ และการหัวเราะนั้นก็ไม่ได้หยุดลงแค่นั้นแต่กลับระบาดไปทั่ว จากนักเรียนกลุ่มเล็กๆก็ขยายวงไปยังคนอื่นที่อยู่รอบข้าง คนที่เดินผ่าน คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทุกคนต่างพากันหัวเราะโดยไม่ทราบเหตุผลเริ่มต้นด้วยซ้ำ สุดท้ายโรงเรียนถึงกับต้องปิดกะทันหัน เด็กนักเรียนต่าง(หัวเราะ)กลับบ้านไป และก็นำเอาโรคหัวเราะไม่หยุดไปติดพ่อแม่ ผู้ปกครองอีก การหัวเราะไม่หยุดขยายเป็นวงกว้างจากหมู่บ้านดังกล่าวไปยังหมู่บ้านอื่น ชุมชนรอบข้าง กระทบกับคนเป็นพันๆ หกเดือนผ่านไปมันจึงยุติลง เมื่อหยุดหัวเราะได้ยังทิ้งผลข้างเคียงบางประการไว้ ชาวบ้านต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ เป็นลมหมดสติ ผื่นขึ้น เจ็บปวด และมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

ปล.โรคนี้ คุณแทนไทก็เอาไปเขียนโลกจิต ว่าด้วยโรคทางสมองประหลาดๆที่อธิบายไม่ได้ครับ





เทวรูปดื่มนม

เดือน กันยายน ปี 1995 ผู้นับถือศาสนาฮินดูในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ได้ประกอบพิธีกรรมบางอย่างโดยการป้อนนมให้เทวรูปในวัด เมื่อนมบนช้อนสัมผัสกับริมฝีปากเทวรูป ปรากฏว่าน้ำนมค่อยๆอันตรธานหายไป ปรากฏการณ์ดังกล่าวแพร่สะพัดไปโดยปากต่อปากในทันใด ในวันรุ่งขึ้น เหล่าผู้ศรัทธาศาสนาฮินดูทุกๆเมืองในตอนเหนือของประเทศอินเดียต่างพากันป้อน นมเทวรูปและได้ผลเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นร่วมสัปดาห์ตามวัดต่างๆ (จำได้ลางๆว่าตอนเกิดเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์ไทยก็เอามาลงข่าวนะครับ เป็นที่ฮือฮามากด้วย มีนักวิทยาศาสตร์ต่างพากันให้สมมติฐานและทำการทดลองต่างๆนานา เพื่อพิสูจน์ว่าการดื่มนมของเทวรูปนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายได้ด้วยวิทยา ศาสตร์)





แมลงกับสาวโรงงาน

ปี 1962 โรคระบาดประหลาดเกิดขึ้นกับสาวโรงงานกว่าหกสิบคนในแผนกตัดเย็บเสื้อผ้า โรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา อาการที่เกิดขึ้นจากโรคดังกล่าวได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน เป็นลมหมดสติ บางรายถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล มีใครสักคนหนึ่งอ้างว่าอาการดังกล่าวเกิดจากการถูกแมลงชนิดหนึ่งกัด ภายหลัง แพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานสาธารณสุขได้ออกมาตรวจสอบและสรุปว่าเป็น ปรากฏการณ์อุปทานหมู่ จากการตรวจสอบ ไม่พบว่ามีแมลงที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว และในบรรดาคนงานทั้งหมดที่ป่วยเข้าโรงพยาบาล ไม่มีใครเลยที่มีแผลถูกแมลงกัด แพทย์เชื่อว่ามีคนงานบางคนถูกแมลงกัดแต่เพียงเล็กน้อย แต่กลับเกิดความกังวลเกินกว่าเหตุจนแสดงออกมาเป็นอาการประหลาดดังกล่าว





อุปทานจากละคร

Morangos com Acucar เป็นละครน้ำเน่าเกี่ยวกับชีวิตของเด็กในวัยทีนที่ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศตุรกี โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่นที่พากันติดงอมแงม

เดือน พฤษภาคม ปี 2006 โรคระบาดที่มีชื่อว่า ‘Morangos com Acucar virus’ เกิดขึ้นครั้งแรกในโรงเรียน 14 แห่ง นักเรียนมากกว่า 300 คน เกิดอาการประหลาดๆซึ่งคล้ายคลึงกับอาการของตัวละครหนึ่งในละคร อาการดังกล่าวได้แก่ ผื่นขึ้น หายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ รุนแรงถึงขนาดบางโรงเรียนต้องปิดลง หน่วยสาธารณสุขได้ออกมาตรวจสอบและสรุปว่าเป็นปรากฏการณ์อุปทานหมู่ซึ่งเกิด จากละคร บรรดาผู้ปกครองต่างพากันวิตกกังวล เพราะละครน้ำเน่าดังกล่าวไม่ได้ฉายทางทีวีอย่างเดียว มันยังตีพิมพ์เป็นตอนๆในหนังสือพิมพ์และนิตยสารอีกด้วย (ฟังคนในอินเตอร์เน็ตวิจารณ์เกี่ยวกับดารา หรือละครกันรุนแร๊ง รุนแรง ก็น่าสงสัยนะครับว่าเป็นอุปทานหมู่หรือเปล่า)




ละครตัวต้นเหตุ



หญิงสาวผู้มีเลือดเป็นพิษ

Gloria Ramirez หญิงสาวที่อาศัยยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ถูกขนานนามว่า ‘หญิงสาวผู้มีเลือดเป็นพิษ’ เนื่องจากใครก็ตามที่ได้สัมผัสร่างกายหรือเลือดของเธอต่างพากันป่วยไข้กันไป หมด

ปี 1994 Gloria ถูกพามาส่งโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็งปากมดลูกกำเริบ พนักงานโรงพยาบาลที่ดูแลเธอต่างพากันล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ จากรายงานกล่าวว่า ร่างกายของ Gloria มีกลิ่นแปลกๆคล้ายผลไม้และกระเทียม ส่วนเลือดของเธอก็มีวัสดุประหลาดๆคล้ายเศษกระดาษอยู่ภายใน สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ในบรรดาพนักงานที่ล้มป่วยจากการสัมผัสคุณ Gloria เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายครับ และจากผลการตรวจเลือดผู้ป่วยทั้งหมดก็พบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆเลย หน่วยงานทางสาธารณสุขจึงสรุปปรากฏการณ์ที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ว่าเป็นอุปทาน หมู่ (อีกตามเคย)





The War of the Worlds

The War of the Worlds เป็นละครวิทยุที่ดัดแปลงโดย Orson Welles จากนิยายวิทยาศาสตร์ของ H.G.Wells ออกอากาศในวันฮาโลวีน ปี 1938 ภายหลังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ถึงสองครั้ง (ครั้งที่สองก็ครั้งที่พี่ทอม ครูซเป็นพระเอก มีน้องหนูดาโกต้า เฟนนิ่งมาเล่นเป็นลูกสาวที่ร้องกรี๊ดๆแสบแก้วหูตลอดทั้งเรื่อง) ในครั้งแรกที่ออกอากาศนั้น สร้างความโกลาหลให้กับผู้คนนับล้านในหลายมลรัฐทางตะวันออก

เนื้อหา ของละครดังกล่าวเกี่ยวกับหายนะวันสิ้นโลกเนื่องจากการบุกรุกของมนุษย์ต่าง ดาว ผู้ฟังรายการหลายคนที่ไม่ได้ฟังประกาศจากสถานีในตอนต้นของรายการ (ว่าเป็นละคร) ต่างพากันตื่นตระหนก หนีตายกันออกจากบ้าน (ทั้งนี้เนื่องจากความตึงเครียดว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในขณะนั้น ด้วย) ประชาชนหลายคนอุปทานว่าตนเองได้กลิ่นก๊าซลึกลับ เห็นวัตถุประหลาด เห็นแสงวูบวาบ เกิดการชุมนุมจนตำรวจต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ เอ๊ะ คล้ายเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน หรือว่าเป็นอุปทานหมู่เหมือนกัน ความโกลาหลที่เกิดขึ้น เมื่อพิจารณาดูแล้วกคล้ายคลึงกับที่บรรยายในนิยายไม่มีผิด สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์สงบลง มีผู้วิจัยว่า จากจำนวนผู้ฟัง 6 ล้านคน มี 1.7 ล้านคนคิดว่าเป็นเรื่องจริง และ 1.2 ล้านคนจากจำนวนนี้เกิดความตื่นตระหนก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเสพสื่ออยู่ที่บ้านเฉยๆก็ทำให้เกิดอุปทานหมู่ได้เช่นกัน





มนุษย์ลิงแห่งนิวเดลี

เดือน พฤษภาคม ปี 2001 เหตุเกิดที่ประเทศอินเดีย(อีกแล้ว) มีรายงานจากกรุงนิวเดลีเกี่ยวกับมนุษย์ลิงลึกลับที่ออกทำร้ายผู้คนยามค่ำคืน พยานผู้พบเห็นต่างให้การไม่สอดคล้องกันเท่าไรนัก ลักษณะที่บรรยายได้แก่ เจ้าสัตว์ลึกลับนั้นสูงประมาณ 120 เซนติเมตร ผมหนาสีดำ ใส่หมวกโลหะ สวมกงเล็บโลหะ ใบหน้าเหมือนลิง ตาลุกวาวแดงโรจน์ มีตราสามดวงบนไหล่ กระโดดจากสูงได้และวิ่งเร็วมาก (นี่มันตัวอะไรกันแน่ฟะ) มีทฤษฎีมากมายที่ถูกยกขึ้นมาอธิบาย บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในตำนานของฮินดู บ้างก็ว่าเป็นบิ๊กฟุตเวอร์ชั่นอินเดีย บ้างก็ว่าเป็นไซบอร์กที่สามารถหยุดการทำงานมันได้โดยการเอาน้ำสาดไปที่หน้า อก

มีรายงานว่าผู้คนจำนวนมากถูกทำร้ายโดยสัตว์ดังกล่าว มากกว่า 15 คนมีรอยแผลฟกช้ำ รอยกัด ข่วนเป็นหลักฐาน มีอย่างน้อยสองคนตายเนื่องจากกระโดดลงมาจากที่สูงเมื่อคิดว่าตัวเองเห็น มนุษย์ลิงลึกลับนั้น และมีการเรียกร้องให้ทางการส่งเจ้าหน้าที่มากำจัดมนุษย์ลิง(4)




คำให้การที่ไม่ตรงกัน



องคชาติหาย

ความ วิตกเกี่ยวกับองคชาติมีการแพร่ระบาดเป็นระยะๆในหมู่เพศชายทั่วโลก อุปทานดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อผู้คนเชื่อว่าจู่ๆองคชาติของตนเองจะหดสั้นลง หรือหายไปทั้งแท่งโดยไม่มีสาเหตุใดๆนำทั้งสิ้น แม้ว่าอุปทานดังกล่าวจะพบได้ทั่วโลก แต่มีรายงานมากที่สุดในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ความกลัวดังกล่าวเป็นผลจากอาการทางจิตซึ่งไม่ได้รับการบำบัดอย่างเหมาะสม บางรายที่เข้าขั้นหนักอาจถึงกับสอดวัสดุบางอย่างเช่นเข็ม ตะขอ เบ็ดตกปลา เข้าไปในองคชาติเพื่อยึด คงรูปให้แน่ใจว่าองคชาติจะไม่หายไป อุปทานดังกล่าวเคยระบาดครั้งใหญ่ในประเทศสิงคโปร์เมื่อ ปี 1967 ซึ่งมีรายงานกว่าพันราย จนทางการต้องออกแคมเปญตามสื่อต่างๆ ประกาศให้ทุกคนเชื่อว่าการหดหายไปขององคชาติเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทาง การแพทย์

อนึ่ง มีการรายงานเกี่ยวกับอุปทานดังกล่าวที่คล้ายคลึงกันในเพสหญิง แต่เปลี่ยนจากความกังวลเกี่ยวกับองคชาติจะสูญหายเป็นกังวลว่าเต้านมของตนจะ หดหายไปแทน





เต้นรำระบาด

โรค เต้นรำประหลาดมีบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี 1518 เมือง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศส เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งออกมาเต้นรำบนท้องถนนเป็นเวลา เกือบสัปดาห์ ต่อจากนั้นผู้คน 30 กว่าคนก็ออกจากบ้านมาร่วมเต้นรำด้วย เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน จำนวนคนเต้นรำก็เพิ่มขึ้นเป็นสี่ร้อยคน ถนนทุกสายแน่นเนืองไปด้วยผู้คนที่ออกมาเต้นรำ ทุกคนเต้นรำ-เต้นรำ-เต้นรำกันโดยไม่มีการหยุดพัก บางคนตายไปเนื่องจากหัวใจวาย หรือด้วยเหนื่อยเกินไป เหตุการณ์ดังกล่าวมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างชัดเจน ทั้งในบันทึกแพทย์ บันทึกเหตุการณ์ระดับท้องถิ่นและภูมิภาค กระทั่งในบันทึกของสภาเมือง แต่สิ่งที่ไม่มีใครให้คำอธิบายไว้คือ ทำไมผู้คนต่างพากันออกมาเต้นรำจนกระทั่งถึงแก่ความตาย และผู้คนเต้นรำจากความปรารถนาส่วนตัวหรือมีอำนาจลึกลับมาบังคับกันแน่





จะ เห็นว่าถ้าสังเกต ปรากฏการณ์หลายๆอย่างในสังคมที่อธิบายไม่ได้ นักวิชาการก็เล่นง่ายโบ้ยให้เป็นอุปทานหมู่ซะเยอะนะครับ สำหรับตัวอย่างของอุปทานหมู่ความจริงก็มีมากกว่านี้ อย่างเช่น แจ็คจอมกระโดด (Spring-heeled Jack) ที่เป็นอุปทานหมู่ในยาวนานกว่าร้อยปีในประเทศอังกฤษ ส่วนในไทยก็มีข่าวอุปทานหมู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆนะครับ และในพันทิปก็สังเกตพฤติกรรมดังกล่าวได้ในบางห้อง อุ๊บส์! ไม่พูดต่อดีกว่า เดี๋ยวโดนอุ้ม





references

(1) wikipedia
(2) listverse
(3) webcoist
(4) BBC news

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cryptomnesia&month=03-05-2009&group=2&gblog=3

1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้วค่ะ เห็นด้วยกับพันทิพย์ก็มีอุปทานหมู่ อิอิ
    โดย: เงาะในน้ำเชื่อม วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:32:03 น.

    ถูกต้อง
    เซ็กส์หมู่ ก็เป็นอุปทานส่วนหนึ่ง
    เสียงเค้าว่ากันพรรณนั้น จ๊ะ

    โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:58:49 น.

    ตอบลบ